วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ความเป็นไทยในงานศิลปะ และสถาปัตยกรรมภายใน



ความเป็นไทยในงานศิลปะ และสถาปัตยกรรมภายใน


ความเป็นไทยถูกสะท้อนออกมาให้เห็นในรูปแบบของวิถีชีวิตอันเรียบง่าย มีประเพณีและศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ซึ่งสังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรมมาก่อน ดังนั้น ความผูกพันของจิตใจจึงอยู่ที่ธรรมชาติแม่น้ำและพื้นดิน สิ่งเหล่านี้จึงเกิดบูรณาการเป็นความคิด ความเชื่อและประเพณีในท้องถิ่น แล้วถ่ายทอดออกมาเป็นวัฒนธรรมไทยอย่างงดงาม ที่สำคัญวัฒนธรรมช่วยส่งต่อคุณค่าความหมายของสิ่งอันเป็นที่ยอมรับในสังคม หนึ่ง ๆ ให้คนในสังคมนั้นได้รับรู้แล้วขยายไปในขอบเขตที่กว้างขึ้น ซึ่งการสื่อสารทางวัฒนธรรมนั้นอาจทำได้โดยผ่านสัญลักษณ์ และสัญลักษณ์นี้คือผลงานของมนุษย์ที่เรียกว่า ศิลปะไทย
          ศิลปะไทยได้รับอิทธิพลจากธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมใน สังคมไทย ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ ความเป็นอยู่และการดำรงชีวิตของคนไทยที่ได้สอดแทรกไว้ในผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้น โดยเฉพาะศิลปกรรมที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของไทย ประเภทของงานศิลปะที่ปรากฏ สามารถแตกออกได้ไปในอีกหลายๆแขนง เช่น จิตรกรรมไทย ประติมากรรมไทย สถาปัตยกรรมไทย ซึ่งมองในภาพรวมจะพบว่าศิลปะไทยจะออกมาในรูปแบบที่อ่อนช้อย ปราณีต เป็นความงามที่วิจิตรและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งนี้ศิลปะไทยอาจไม่ได้มีรูปแบบตายตัว แต่อาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และสังคมที่เปลี่ยนไป





ในสถาปัตยกรรมไทย จะพบว่าในแต่ละอาคารมีความแตกต่างกันไปตามลักษณะการใช้งาน และตามฐานณานุศักดิ์ ทำให้พื้นที่ภายในถูกออกแบบให้แตกต่างตามลักษณะของอาคารด้วย ซึ่งในสถาปัตยกรรมทางศาสนาเช่น อุโบสถ จะมีการตกแต่งอย่างวิจิตร ภายในเป็นสเปซสูง มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่วางไว้ปลายทาง ทำให้เมื่อเข้าไปจะรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์และความยิ่งใหญ่ มีการให้แสงบริเวณพระพุทธรูปซึ่งส่วนมากพระพุทธรูปจะเป็นสีทองซึ่งเมื่อกระทบกับแสงสีเหลืองจะยิ่งทำให้พระพุทธรูปเด่นขึ้นมากภายในสเปซนี้ ในสถาปัตยกรรมสำหรับเป็นที่ประทับของชนชั้นกษัตริย์มีการตกแต่งวิจิตรและความซับซ้อนตามยศที่แตกต่างกัน เครื่องเรือนมีการประดับตกแต่งที่เกินการใช้งาน เครื่องเรือนบางชิ้นอาจอยู่ในรูปแบบ space within space เช่น ที่ประทับ หรือ ที่บรรทม ที่มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม มีหลังคา หรือมีม่านกั้น ทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขี้น พื้นที่บางส่วนมีการเปลี่ยนระดับพื้นเพื่อบ่งบอกถึงชนชั้น เช่น เจ้านายจะนั่งในระดับพื้นที่ถูกยกสูงกว่าคนรับใช้ 





ส่วนในที่พักอาศัยของสามัญชน จะมีการสร้างเรือนที่มีรูปแบบคล้ายชนคือมีการสร้างเป็นหลังๆและเชื่อมกันด้วยชาน ซึ่งเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ของเรือน และด้วยวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันของคนในแต่ละพื้นที่ ทำให้บ้านเรือนบางส่วนถูกออกแบบมาให้ไม่เหมือนกัน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น บ้านเรือนริมคลองก็จะมีบานหน้าต่างถี่เปิดเข้าคลองเพื่อรับลมต่างจากเรือนทั่วไปที่มีช่องเปิดที่น้อยกว่า นอกจากนี้ธรรมเนียมวัฒนธรรมที่ต่างกัน ก็ส่งผลให้มีการประดับแตกแต่งที่แตกต่างกันด้วย เช่น บางแห่งที่ได้รับอิทธิพลจากจีน จะมีการนำเอาเอาชิ้นส่วนเครื่องดินเผามาประดับตกแต่งผนัง เป็นต้น



ในยุคสมัยที่ใหม่ขึ้น อาจไม่พบบ้านเรือนเช่นอย่างอดีต เนื่องจากได้อิทธิพลการก่อสร้างมาจากตะวันตก การแสดงความเป็นไทยส่วนมากในปัจจุบันจึงเป็นการลดทอน การนำเอามาเพียงองค์ประกอบบางส่วนที่สามารถบ่งบอกความเป็นไทยได้ ตัวอย่างเช่น ไอคอนสยามที่สะท้อนความเป็นไทยทั้งรูปทรงภายนอกและภายในที่มีการประดับตกแต่งอย่างไทย เช่น เสาลายกระหนก แชนเดอเลียร์ที่ออกแบบมาจากดอกรักและดอกมะลิ การใช้สีทองสื่อถึงความเป็นไทย เป็นต้น





ฉะนั้นความเป็นไทยในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้เกิดการตีความที่หลากหลายมากขึ้น และมีวิธีการออกแบบให้ดูเป็นสากล ทันสมัย บ่งบอกถึงพัฒนาการของสังคม


วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2562

การก่อสร้างแบบมฤคทายวัน



การก่อสร้างแบบมฤคทายวัน

               พระราชนิเวศน์มฤคทายวันมีเทคนิคการก่อสร้างที่ต่างออกไปจากที่คุ้นเคย หรือที่เคยรู้มาก่อน ตั้งแต่วิธีการวางแผนในการก่อสร้าง การเลือกใช้วัสดุ ไปจนถึงการลงลึกในรายละเอียดต่างๆ


             
                 ขั้นตอนในการบูรณะ เริ่มจากการตั้งนั่งร้านแล้วสำรวจตัวอาคารอย่างละเอียด ประกอบไปกับการอ่านจดหมาย อายุเกือบ 100 ปี ที่ใช้เขียนโต้ตอบกันในแต่ละฝ่าย ระหว่าง รัชกาลที่ 6 – ตามานโญ สถาปนิก – วิศวกร – ผู้รับเหมา ฯลฯ ด้วยระบบการก่อสร้างทำให้ใช้เวลาสร้างเร็วมาก ประมาณ 7 เดือนก็เสร็จแล้ว แต่ในการบูรณะ ต้องใช้เวลาถึง 14 เดือน 

                เสาที่ใช้ในการก่อสร้างพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เป็นคอนกรีต  (Mass Concrete)ไม่มีเหล็กเส้น เนื่องจากตัวอาคารตั้งอยู่ริมทะเลซึ่งมีคลอไรด์ จึงใช้คอนกรีต แต่ยังมีการใช้เหล็กเส้นบริเวณหัวเสาแทน บัวที่ใช้บนเสาทุกต้น ทำมาจากหินแกรนิต บริเวณฐานเสามีการเว้น Gap ไว้ เพื่อใช้ในการหล่อน้ำ กันมดตะนอยซึ่งจะมีเยอะมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว ลักษณะของการหล่อกันแมลงแบบนี้พบได้ในสถาปัตยกรรมแถวๆปีนัง เสาทุกต้นตั้งอยู่บนทราย เป็นฐานฟลุตติ้ง ที่ความลึก1.20ม. เพราะทรายกระจายน้ำหนักได้ดี ทำให้ไม่ต้องมีเสาเข็ม

            




               ทั้งโครงการมีเสา 1080 ต้น โดยที่เสาทุกต้นในโครงการจะตรงกันหมด เป็นระบบกริดไลน์ ช่องเปิดประตูก็เช่นกัน ทำให้เป็นข้อสังเกตได้ว่า ตัวพระราชนิเวศน์ไม่ใช่วิคตอเรียนอย่างที่เข้าใจกันแต่แรกแต่เป็นการก้าวเข้าสู่ Modern Architecture เพราะมีการนำระบบ Modular System เข้ามาใช้งานแล้ว ซึ่งจริงๆแล้วระบบ Modular system ถูกนำมาใช้ฝาปะกนของบ้านเรือนไทยเช่นกัน ทำให้แยกไม่ออกว่าเป็นวิธีคิดแบบตะวันตกหรือตะวันออก นอกจากนั้นส่วนประกอบต่างๆยังถูกผลิตมาจากที่อื่น แล้วขนส่งมาประกอบที่นี่ ซึ่งพื้นก็เป็นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูปโบราณยกมาติดตั้งเช่นกัน

              ผังอาคารแบ่งเป็น ท้องพระโรง – ฝ่ายหน้า – ฝ่ายใน โดยการตั้งชื่ออาคารเป็นไปตามระบอบความคิดสมมุติเทพ อยู่ในกรอบความเชื่อของระบบสมบูรณาญาสิทธิราช
              การวางตำแหน่งเรือน เป็นการบ่งบอกสถานะทางสังคมที่แฝงอยู่ในสถาปัตยกรรม โดยเรือนที่ใกล้ทะเลมากที่สุด คือเรือนของร.6 รองลงมาคือเรือนของพระมเหสีแล้วค่อยๆลดหลั่นกันไปเรื่อยๆ
ท้องพระโรง (พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์)
            ใช้สำหรับออกว่าราชการ รับอาคันตุกะ แสดงละคร เป็นอาคาร 2 ชั้น ฝ้าเปิดโล่ง ชั้น 2 เป็นระเบียงล้อมรอบโถงกลาง เป็นที่ประทับของเจ้านาย
5.jpg
            ตัวฝ้าเพดานใช้วิธีการการห้อยแขวนซึ่งใช้ไม้มาถักเป็นโครง truss เพื่อใช้รับน้ำหนัก ฝ้าที่ทำจาก Ferrocement น้ำหนักประมาณรถฟอร์จูนเนอร์ 3 คัน ส่วนเสาชั้น 2 เป็นเพียงไม้บางๆมาประกบกัน 4 แผ่น ตรงกลางกลวง อาคารนี้จึงเปรียบเสมือนการประกาศต่อตะวันตกว่าเราสามารถนำ cultureเค้ามาประยุกต์เข้ากับของเราได้ โดยไม่น้อยหน้า
               


ฝ่ายหน้า (หมู่พระที่นั่งสมุทรพิมาน) เป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 6 และเสนาบดีชั้นสูง
            บริเวณห้องบรรทม ตรงราวกันตกมีที่แขวนมู่ลี่ไม้ไผ่ เพื่อเพิ่มความ privacy สามารถถอดออกได้ พื้นหน้าห้องมีรูทองเหลือง เพื่อเอาไว้ยึดพรมไม่ให้ปลิว ตรงส่วนที่ร.6จะเสด็จ จะมีหมุดปักพรมซ่อนอยู่ตลอดแนว ตั้งแต่ห้องบรรทมถึงท้องพระโรง
            ส่วนห้องสรง สุขภัณฑ์และหินอ่อน นำเข้ามาจากอิตาลี ที่ห้องน้ำมี bidet อยู่ ทำให้เห็นวิถีของสมัยนั้นตัวสถาปัตยกรรมจึงเปรียบเสมือนไทม์แมชชีนที่ก้าวผ่านกาลเวลา
ฝ่ายใน (หมู่พระที่นั่งพิศาลสาคร)
         มีทางเชื่อมกับศาลาลงสรงฝ่ายในภายในประกอบด้วยห้องแต่งพระองค์ ห้องเก็บของ และเฉลียงสำหรับรับลมทะเลโดยถ้าไม่โปรดจะลงเล่นน้ำทะเลก็มาประทับที่เฉลียงรับลมทะเล


ภาษา space ของตามานโญ่ถ้าเทียบกันแล้ว แต่ละที่จะมีspace ที่คล้ายกัน ทั้งเนลสันเฮย์ พระที่นั่งอนันตฯ นอกจากนั้นแล้ว บ้านหลังข้างๆของตัวพระราชนิเวศน์ ตามานโญ่ก็เป็นคนออกแบบเหมือนกัน เป็นบ้านของเจ้าพระยารามราฆพ ใช้วิธีคิดคล้ายๆกันกับพระราชนิเวศน์แต่ลด Spec Material ที่ใช้ในการก่อสร้างลง เพราะจะได้ไม่เหมือนทำตัวเทียมเจ้านาย วัสดุหลักที่ใช้ในการก่อสร้าง ใช้ปูนหมากปูนตำ ก่ออิฐบล็อกลงบนคานไม้ ใช้กรอบเป็นรูปตัวยู ตัวปูนด้านนอกไม่มีสี เพราะถ้าเคยมีปูนตัวนี้จะดูดสีดีมาก แต่นี่ไม่มีสีเลย ทำให้คิดว่าแต่เดิมเป็นสีนี้โดยอิฐบล็อกเป็นตัวเดียวกับโรงเก็บของที่อยู่ด้านหลังพระราชนิเวศน์
พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงวัฒนธรรม และรสนิยมในสมัยร.6ที่ทำให้เราได้เห็นถึงวิธีคิด สิ่งก่อสร้าง การเลือกไซต์ วิถีชีวิต และการวางผัง 
              



วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ธรรมเนียมการเปิดพระวิสูตร



ธรรมเนียมการเปิดพระวิสูตร


              พระวิสูตร หรือ ม่าน หลายคนอาจรู้จักหน้าที่ของม่านเพียงแค่ว่าเป็นฉากกั้นบริเวณช่องเปิดของผนัง เพื่อกั้นพื้นที่ภายนอก-ใน และทำหน้าที่กันแสงแดดจากภายนอกเข้าสู่ตัวอาคาร แต่ม่านมีหน้าที่และความสำคัญมากกว่าเพียงแค่การบดบังแสงแดด

              ม่าน เป็นที่คุ้นเคย และถูกนำมาใช้ตั้งแต่อดีตโดยแรกเริ่มมีหน้าที่ในการบดบงแสงแดด ต่อมาจึงมีการใช้ม่านเพื่อแบ่งพื้นที่ใช้งานต่างๆ รวมไปจนถึงการใช้เพื่อแบ่งชนชั้นในสังคม
           หากได้สังเกตและศึกษาลักษณะการใช้งานอย่างถี่ถ้วนจะพบว่าในสังคมไทย ส่วนใหญ่มีการใช้ม่านเพื่อแบ่งพื้นที่เพื่อแสดงถึงชนชั้นระหว่างพระมหากษัตริย์และสามัญชน ซึ่งหากสามัญชนจะเดินผ่านเข้าไปก็ทำได้โดยง่าย แต่พระวิสูตรทรงไว้ซึ่งอำนาจมากกว่าความแข็งแรง จึงทำหน้าที่กั้นพื้นที่ได้อย่างศักดิ์สิทธิ์

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พระวิสูตร ในจิตรกรรมฝาผนัง

           นอกจากนี้พระวิสูตรมีความสำคัญในการประกอบราชพิธีต่างๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ "ธรรมเนียมการเปิดพระวิสูตร" การเปิดพระวิสูตรนี้จะกระทำขึ้นเฉพาะ"พระราชพิธีใหญ่มีการเสด็จออกมหาสมาคมเท่านั้น โดยพระวิสูตรนี้จะกางกั้นระหว่างพระราชบัลลังก์ กับข้าราชการที่มาเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท เมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถึงก็จะเสด็จเข้าทางพระทวาร(ประตู)หลังของพระที่นั่ง เสด็จขึ้นประทับเหนือพระราชบัลก์ภายใต้พระเศวตฉัตร ลายล้อมไปด้วยต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง เมื่อถึงเวลาจะเปิดพระวิสูตรนั้น เจ้าพนักงานจะชูพุ่มดอกไม้ทอง เจ้าพนักงานจะรัวกรับ ประโคมกระทั่งมโหระทึก ประโคมแตร ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ จากนั้นพนักงานชาวม่านจะเริ่มเผยพระวิสูตรออกให้เห็นพระเจ้าอยู่หัว
             เหตุที่ต้องมีพระวิสูตรกั้น และต้นไม้เงินต้นไม้ทองแวดล้อมพระราชบัลลังก์นั้นเป็นการสะท้อนถึงความเชื่อเรื่ององค์สมมติเทพโดยมีเหตุผลดังนี้ คือ "พระวิสูตร เปรียบเสมือนที่กั้นเขตแดนระหว่างสวรรค์ที่เต็มไปด้วยดอกไม้เงินดอกไม้ทอง กับโลกมนุษย์ "
ซึ่งในช่วงตั้นกรุงรัตนโกสินทร์นั้น เมื่อถึงงานพระราชพิธีออกมหาสมาคม เจ้าพนักงานจะเปิดพระวิสูตรไว้ให้ข้าราชการที่มาเข้าเฝ้าได้เห็นว่า บนพระราชบัลลังก์นั้นว่างอยู่ และเมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถึงพระที่นั่งก็จะเสด็จพระราชดำเนินเข้าทางพระทวารหลังเตรียมจะเสด็จขึ้น เจ้าพนักงานก็จะปิดพระวิสูตร เพื่อให้พระเจ้าอยู่หัวเสด็จปีนขึ้นไปประทับบนพระราชบัลลังก์ เมื่อได้เวลาออกมหาสมาคมเจ้าพนักงานก็จะเปิดพระวิสูตรอีกครั้งหนึ่ง เสมือนว่าองค์สมมติเทพเสด็จลงมาปรากฏกายให้เห็นอย่างน่าอัศจรรย์
               เมื่อถึงคราวจะเสด็จกลับ หลังจากจบสิ้นพระบรมราโชวาทแล้ว เจ้าพนักงานชาวม่านก็จะปิดพระวิสูตรเพื่อให้พระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงจากพระราชบัลลังก์แล้วเสด็จออกไปทางพระทวารหลัง จากนั้นเจ้าพนักงานชาวม่านก็จะเปิดพระวิสูตรอีกครั้งเสมือนว่าพระองค์เสด็จหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
              แต่ในปัจจุบันธรรมเนียมนี้ได้ตัดบางตอนออกไปคือ จะเผยพระวิสูตรเพียงครั้งเดียวคือเมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถึง และปิดพระวิสูตรเมื่อเสด็จกลับ โดยไม่เปิดอีก
          



          จะเห็นได้ว่าในสังคมไทยนั้นให้ความสำคัญกับการแบ่งพื้นที่เพื่อบ่งบอกถึงชนชั้น ฐานะ และสภาพทางสังคม ทั้งนี้สิ่งที่จะช่วยในการแบ่งพื้นที่ต่างๆแล้ว นอกจากม่าน ยังมีการใช้องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น กำแพง ฉากกั้น บันได เป็นต้น

วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

พระปรางค์วัดอรุณ





พระปรางค์วัดอรุณ


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พระปรางค์วัดอรุณ"



พระปรางค์วัดอรุณในมุมกว้าง เจดีย์องค์ใหญ่เป็นปรางค์ประธาน มีเจดีย์ทรงปรางค์เป็นบริวารประจำมุม และมีมณฑปประจำทิศ
ปรางค์ประธานเป็นสัญลักษณ์แทนเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางของจักรวาล เจดีย์บริวารประจำมุมทั้งสี่ หมายถึง มหาทวีปทั้งสี่ มณฑปทั้งสี่ทิศ หมายถึง ท้าวจัตุมหาราช เทวดารักษาทิศทั้งสี่
ชุดฐานของปรางค์ประธาน มี 3 ชั้น แต่ละชั้นประดับด้วยประติมากรรม ชั้นที่หนึ่งเป็นรูปยักษ์แบก ชั้นที่สองเป็นรูปกระบี่แบก ชั้นที่สามเป็นรูปเทวดาแบก


ชั้นที่1 ยักษ์แบก

ชั้นที่2 กระบี่แบก

ชั้นที่3 เทวดาแบก




งานช่างศิลป์อันโดดเด่นของพระปรางค์วัดอรุณ นอกจากรูปแบบทางสถาปัตยกรรมแล้ว ยังอยู่ที่ประติมากรรมประดับ กับงานกระเบื้องสีและเครื่องเคลือบประดับ


จะสังเกตได้ว่าองค์พระปรางค์วัดอรุณแม้มีขนาดสูงใหญ่ แต่กลับดูไม่เทอะทะ หากแต่ดูสมส่วนงดงามลงตัว โดยรองศาสตราจารย์สมคิด จิระทัศนกุล จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยศิลปากร หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านงานสถาปัตยกรรมไทยในอันดับต้นๆ ของประเทศ ได้อธิบายถึงรูปทรงของพระปรางค์วัดอรุณฯ ไว้ในหนังสือ “รู้เรื่อง วัดวิหาร โบสถ์ เจดีย์ : พุทธสถาปัตยกรรมไทย” ว่า เป็น “ทรงจอมแห” โดยในหนังสือได้กล่าวไว้ดังนี้

“...ทรงจอมแห : หมายถึงรูปทรงของพระปรางค์ที่สร้างโครงรูปเส้นรอบนอกให้มีลักษณะแอ่นโค้งเหมือนอาการทิ้งน้ำหนักตัวของ “แห” ที่ถูกยกขึ้น รูปทรงเช่นนี้ความจริงถูกนำมาใช้กับการออกแบบพระเจดีย์สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์มาก่อนแล้ว ก่อนจะนำมาพัฒนาใช้กับรูปทรงพระปรางค์บ้าง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการพัฒนาที่บรรลุผลทางการออกแบบอย่างสูงสุดครั้งสุดท้าย โดยเฉพาะกับองค์พระปรางค์ประธาน วัดอรุณราชวรารามฯ ธนบุรี ที่ต้องถือว่ามีความงดงามที่สุดในกระบวนการพระปรางค์ยุคกรุงรัตนโกสินทร์ทั้งหมด


ซึ่งความสำเร็จของการออกแบบ “รูปทรงจอมแห” ของพระปรางค์แห่งนี้ อยู่ที่การเน้นส่วนฐานด้วยการซ้อนชั้นจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อเป็นการเสริมให้อาคารมีความสูงมากๆ จึงต้องยืดส่วนของฐานให้กว้างขึ้นกว่าปกติ เพียงพอให้สามารถเบียดทรวดทรงอาคารให้เกิดลักษณะที่แอ่นโค้งได้สำเร็จตามรูปทรงดังกล่าว ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เรือนธาตุกับส่วนยอดอันเพรียวบางนั้น ซึ่งแม้ว่าจะไม่หลงเหลือความยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างต้นฉบับแบบเดิมของ “ทรงศิขร”อยู่เลย แต่ทว่ากลับสะท้อนถึงความสุนทรีย์แห่ง “รูปทรง” ลักษณะใหม่ที่งดงามอย่างหมดจด รวมทั้งความละเอียดในเชิงการออกแบบรูปแบบแผนผัง และองค์ประกอบตกแต่ง ซึ่งก็ยังสามารถสนองรับกับแนวคิดในเรื่องของ “คติจักรวาล” ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามคติเดิมอีกด้วย...”






วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

จิตรกรรมภาพสีปูนเปียก วัดราชาธิวาส

จิตรกรรมภาพสีปูนเปียก วัดราชาธิวาส


พระอุโบสถนี้มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องมหาเวสสันดรชาดก ทั้ง 3ด้าน รวม 13 กัณฑ์ ที่แปลกตาอย่างยิ่งคือหน้าตาตัวละครทุกตัวคล้ายฝรั่ง ต่างกับความคุ้นเคยของคนไทยที่เห็นภาพเขียนมหาเวสสันดรชาดก หน้าตาคล้ายคนไทย เช่น ภาพเขียนฝีมือปรมาจารย์ เหม เวชกร ที่พิมพ์แพร่หลาย และภาพเขียนผนังอุโบสถตามวัดต่างๆ
การที่ภาพเขียนเรื่องมหาเวสสันดรชาดกที่วัดนี้ มีหน้าตาออกไปทางฝรั่ง หรือค่อนไปทางแขก เป็นเพราะจิตรกรผู้เขียนเป็นชาวอิตาลี ชื่อศาสตราจารย์คาร์โล ริโกลี (Carlo Rigoli) ที่เขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 นั่นเอง
จิตรกรคาร์โล ริโกลี เป็นผู้ขยายแบบและลงสีโดยใช้เทคนิคการลงสีแบบเฟรสโกหรือการเขียนสีบนปูนเปียก ซึ่งเป็นเทคนิคการเขียนของโลกตะวันตกเป็นการวาดภาพลงไปในขณะที่ปูนยังไม่แห้ง สีจะซึมลึกลงไปในเนื้อปูน ทำให้อยู่คงทนนานนับสิบ ๆ ร้อย ๆ ปี อย่างเช่นจิตรกรรมของวัดราชาธิวาสที่วาดมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 แต่ยังคงอยู่ถึงตอนนี้โดยไม่ลบเลือนเหมือนจิตรกรรมของหลาย ๆ วัด แต่เทคนิคนี้ยากมาก เพราะหากวาดผิดไปนิดเดียว จะต้องรื้อปูนออก ฉาบปูนใหม่แล้ววาดใหม่หมด คนที่จะวาดได้ต้องมีฝีมือจริง ๆ



 



ภาพตัวละครมหาเวสสันดรชาดกในความคิดของศาสตราจารย์ริโกลี ที่เขียนออกมานั้น มีสรีระร่างกายเข้มแข็ง บึกบึน ไม่เว้นแม้แต่อัจจุตฤาษี และชูชก ภาพเหล่านี้นอกจากออกไปทางฝรั่งแล้ว ยังเป็นที่แปลกตาของชาวไทย ที่คุ้นเคยกับสรีระตัวละครที่อ้อนแอ้น โดยเฉพาะคู่พระคู่นาง ส่วนฤาษีจะมีร่างกายผอม ชูชกจะเป็นชายหง่อม ซูบซีดเพราะยากจน ร่างกายไม่น่าดูเพราะมีบุรุษโทษ 18 ประการ เช่น เท้าทั้งสองใหญ่และคด เล็บทั้งหมดคด ปลีน่องทู่ยานลงภายใต้ริมฝีปากบนยาวปิดรับริมฝีปากล่าง และน้ำลายไหลออกเป็นยางยืด เป็นต้น นอกจากนี้ ภาพที่ถูกเขียนยังมีความสมจริงทั้งฉาก บุคคล ธรรมชาติ ถือเป็นครั้งแรกที่จิตรกรรมฝาผนังเนื่องในพุทธศาสนาถูกเขียนด้วยเทคนิคแบบนี้
ต่อมาจิตรกรรมแบบเฟรสโกสามารถพบเห็นได้อีหลายสถานที่เช่นที่โดมในพระที่นั่งอนันตสมาคม ภายในพระที่นั่งอนันตสมาคมบนเพดานโดมมีภาพเขียนเฟรสโก เป็นงานจิตรกรรมเทคนิคการเขียนสีบนปูนเปียก ซึ่งภาพจะติดทนกว่าภาพที่เขียนบนปูนแห้ง เป็นภาพแสดงถึงพระราชกรณียกิจและเหตุการณ์สำคัญในราชวงศ์จักรี ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน ๖ ภาพ โดย นายกาลีเลโอ กีนี และนาย ซี. รีกูลี

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2562

บัว

                "บัว" เป็นรูปแบบศิลปะไทย ที่ช่างศิลป์เกือบทุกแขนงนำมาใช้ในการตกแต่งอาคารต่างๆ โดยรูปแบบได้รับแรงบันดาลใจมาจากบัวหลวงในธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานตกแต่งสถาปัตยกรรมไทย พบว่ามีการเรียกชื่อ "บัว" นำหน้าหรือต่อท้าย อาจเป็นเพราะชิ้นส่วนเหล่านั้นมีเส้นขอบนอกของชิ้นส่วนเป็นรูปวงโค้งเหมือนกลีบดอกบัว เช่น บัวหัวเสา บัวคอเสื้อ ฐานปัทย์ ฐานบัวคว่ำ ฐานบัวหงาย เป็นต้น ซึ่งบางครั้งมีการตกแต่งให้มองเห็นเป็นรูปลวดลายกลีบบัวโดยตรง
                ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงบัวในงานตกแจ่งสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งถือกันได้ว่าเป้นส่วนประกอบสำคัญจนอาจกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติที่นักออกแบบจะต้องศึกษาเรียนรู้และนำไปใช้ให้ถูกต้อง ไม่ว่าจะใช้ในเชิงอนุรักษ์ หรือดัดแปลงแบบร่วมสมัย ก็จำเป็นต้องศึกษารูปแบบและวิธีการใช้ วิธีการเขียน เพื่อจะนำไปสู่การออกแบบที่ถูกต้องสวยงามต่อไป

องค์ประกอบสถาปัยตยกรรมที่มีชื่อเรียกเป็นบัว
1.บัวหงาย คือ ส่วนบนของฐานอาคารใช้ส่วนโค้งของกลีบบัวสร้างเป็นระนาบแนวนอนไปตลอดอาคาร
2.บัวคว่ำ คือ ส่วนล่างของฐาน
3.บัวถลา คือ ชื่อเรียกอีกอย่างของบัวคว่ำ ที่มีส่วนที่ลดมากกกว่าปกติ
4.บัวรวน คือ บัวหงายที่มีการทำเป็นกลีบบัวลดความกระด้างของระนาบทำให้มีมิติดูพริ้วอ่อนไหว
5.บัวปากฐาน คือ ชื่อเรียกอีกอย่างของบัวหงาย คือบัวที่ซ้อนกันไม่มีบัวคว่ำ
6.บัวปากปลิง คือ บัวคว่ำลงมาติดระนาบหน้ากระดานมักใช้งานกับงานที่มีสัญฐานกลม
7.บัวหลังเจียด คือ หน้าระนาบของบัวคว่ำที่ลาดมากๆอยู่ด้วยกันโดยมีหน้ากระดานคั่นกลาง
8.บัวอกไก่ คือ บัวที่ทำเป็นโค้งหงายชนกับบัวคว่ำลายเส้นคล้ายอกไก่ในธรรมชาติ มักใช้คั่นกลางหน้ากระดานระหว่างบัวคว่ำกับบัวหงาย
9.บัวกนก คือ บัวคว่ำและบัวหงายที่มีการทำเป็นกลีบซ้อนกันละเอียดมีกนกประกอบ
10.บัวฟันยักษ์ คือ บัวคว่ำหรือบัวหงายที่ทำเป็นสามเหลี่ยมเส้นแข็งๆทื่อๆ
11.บัวลูกแก้ว คือบัวที่ทำผิวโค้งครึ่งวงกลม มักใช้กับเรือนยอดแหลมของเจดีย์ ซ้อนเป็นชั้นๆแทนอกไก่
12.บัวกลีบบายศรี คือ งานตกแต่งกำแพง หรือ ผนังสร้างเป็นกลีบบัวแหลมอย่างบายศรีใบตอง
13.บัวกลุ่ม คือ บัวที่อยู่ปลายเสาอุโบสถ ใช้กับเสาสัณฐานกลม
14.บัวแวง คือ บัวที่อยู่ปลายเสาอุโบสถ ใช้กับเสาสัณฐานเหลี่ยมย่อมุม
15.บัวกลีบขนุน คือ ชื่อเรียกอีกอย่างของบัวแวงที่มีการแบ่งกลีบหลายๆกลีบคล้ายชังขนุนในธรรมชาติ
16.บัวรัดเกล้า คือบัวหงายที่ชันลาดมากใช้รองรับเรื่อนยอดของอาคาร เช่น พระปรางค์
17.บัวเชิงบาตร คือ ฐานบัวตว่ำที่นำแบบอย่างมาจากเชิงบาตรพระ
18.บัวคอเสื้อ คือ การปั้นลวดลายประดับผนังที่มุมอาคารภายนอก





การนำบัวไปใช้ในสถาปัตยกรรม
1.ส่วนฐานอาาร
2.ฐานเสมา
3.ส่วนฐานอาคาร
4.ส่วนผนังภายนอก
5.ส่วนกำแพง
6.ฐานพระ

“ธรรมชาติแสงเงาของบ้านเรือนไทย”

“ธรรมชาติแสงเงาของบ้านเรือนไทย”



“ทางเดินในบ้านเรือนไทย”

             บ้านเรือนไทยส่วนใหญ่เป็นบ้านแบบกึ่งบกกึ่งน้ำ กล่าวคือมีการยกพื้นสูงขึ้นไป จึงต้องกำหนดพื้นที่สัญจรภายในบ้าน “ชาน” คือพื้นที่กึ่งอเนกประสงค์ที่ถูกคิดค้นมาเพื่อการนี้ ไม่ว่าจะเป็นชานแล่น ชานร่ม หรือชานแดด เมื่อครอบครัวต้องการขยับขยายจึงต้องมีการปลูกเรือนเพิ่ม เรือนประธานและเรือนรองจะมีชานเป็นตัวเชื่อม เรียกว่า “ชานแล่น” ถือเป็นลักษณะสำคัญของเรือนไทย การขยายเรือนเดี่ยวมาสู่เรือนหมู่มีข้อจำกัดไม่มาก จึงทำให้สามารถต่อเรือนได้ตั้งแต่สองเรือน สามเรือน ไปจนถึงสิบห้าเรือน การขยายเรือนแบบ “ล้อมชาน” จึงสามารถสร้างให้เกิดพื้นที่ส่วนกลาง (courtyard) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะแบบอุษาคเนย์

2

             จะเห็นว่า “ชาน” เป็นทั้งพื้นที่สัญจร ส่วนต่อเชื่อมเรือนต่างๆ และยังเป็นพื้นที่ส่วนกลางอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดการไหลเวียนอาคารจากเรือนหนึ่งสู่อีกเรือนหนึ่ง โดยแต่ละเรือนจะเปิดรับลมที่ไหลเวียนผ่านพื้นที่หลักก็คือชานแล่นออกไปนั่นเอง
ชานจึงมีความสำคัญในการกำหนดพื้นที่ของห้องในบ้านเรือนไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่ชานแล่นจะเชื่อมโยงแต่ละเรือนเข้าด้วยกัน ทั้งยังมีพื้นที่ส่วนกลางที่เรียกว่า “ชานแดด” และชานร่มหรือพาไลที่เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ด้านหน้าของแต่ละเรือนด้วย
P.164

“นอนอย่างไทย”

               บ้านเรือนไทยไม่นิยมปลูกเรือนขวางตะวัน แต่มักปลูกตามตะวัน ไม่ว่าจะเป็นเรือนภาคไหนก็ตาม ตามตะวันก็คือการหันหน้าจั่วบ้านไปทางแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก ดังนั้นห้องนอนจะอยู่ทางทิศเหนือ และหน้าบ้านจะอยู่ทางทิศใต้ การวางแนวทิศเรือนเช่นนี้เป็นผลให้ห้องนอนที่มักอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้านได้รับแสงในยามเช้า และลมเย็นในยามบ่าย ทำให้ผู้อยู่อาศัยตื่นขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่า

thaihouse-002ลักษณะการวางเรือนตามตะวัน




             ห้องนอนของไทยจะว่าเป็นห้องที่มีที่นอนและตู้เสื้อผ้าอย่างตะวันตกก็ไม่เชิงเสียทีเดียว ในความเป็นจริงแล้วห้องนอนก็คือห้องอเนกประสงค์ที่มีความเป็นส่วนตัวกว่าชานและระเบียง เป็นพื้นที่ซึ่งแบ่งความเป็นส่วนตัวระหว่างแขกกับคนในบ้าน ซึ่งจะถือว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ไม่ไปล่วงล้ำ โดยปกติหากเป็นเรือนภาคกลางก็จะมีการยกพื้นขึ้นจากชานสู่ระเบียง 40 เซนติเมตร และจากระเบียงสู่ห้องนอนอีก 40 เซนติเมตร ทำให้ระดับการนั่งในห้องนอนนั้นเท่ากับระยะความสูงของผู้ที่เดินอยู่นอกชานเรือน
thaihouse-003
P23807
     
             นอกจากนี้ในการสร้างระดับของ “พื้นที่ส่วนตัว” ในเรือนไทยจะใช้ระดับแสงเป็นตัวช่วย กล่าวคือในพื้นที่ชานแดดที่สว่างกว่านั้น พื้นที่ในร่มอย่างชานร่มจะมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า และพื้นที่แสงสลัวอย่างภายในห้องนอนจะไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกเลยทีเดียว ในขณะที่ภายในห้องนอนสามารถเห็นทุกพื้นที่ได้อย่างชัดเจน นับเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ออกแบบจากความเข้าใจในธรรมชาติของแสงเงานั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2562

หุ่นละครเล็กคลองบางหลวง

  

หุ่นละครเล็กคลองบางหลวง

                
                หุ่นละครเล็กคลองบางหลวงเกิดจากการรวมตัวของกลุ่มศิลปินที่ยังมีความรักและผูกพันอยู่กับการแสดงหุ่นละครเล็ก ด้วยความมุ่งมั่นและเจตนารมย์เดียวกันที่จะสืบทอด โดยสถานที่สำหรับจัดแสดงหุ่น และเป็นโรงเรียนเล็กๆ ที่เปิดสอนพื้นฐานการแสดงโขนละคร ก็ได้รับความอนุเคราะห์จาก ท่านชุมพล อักพันธานนท์ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านศิลปิน ณ คลองบางหลวง ได้เอื้อเฟื้อสถานที่ให้ใช้ทำการแสดง และตั้งชื่อคณะว่า “คณะหุ่นละครเล็กคลองบางหลวง คณะคำนาย” ตามชื่อของสถานที่ตั้งคือคลองบางหลวงนั่นเอง



           
                  การแสดงหุ่นละครเล็กเป็นการแสดงที่ผู้เชิดต้องมีความสามารถเฉพาะทางและไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะสามารถเชิดหุ่นละครเล็กได้ เนื่องจากผู้เชิดต้องมีพื้นฐานโขน ละคร เป็นอย่างดีจึงจะสามารถเริ่มฝึกการเชิดหุ่นละครเล็กได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลามากกว่า 1 ปี ถึงจะสามารถถ่ายถอดจิตวิญญาณสู่หุ่นละครเล็กให้มีท่วงท่าที่อ่อนช้อยและงดงามได้  อีกทั้งในการเชิดหุ่นละครเล็ก ต้องใช้ผู้เชิดถึง 3 คนจึงต้องรวมใจของทั้ง 3 ให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อถ่ายทอดไปยังตัวหุ่นละครเล็กให้หุ่นละครเล็กเคลื่อนไหวประดุจมีชีวิตซึ่งยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมที่บรรพบุรุษได้สั่งสมภูมิปัญญาจนเกิดเป็นวัฒนธรรมอันเป็นที่ยอมรับของทั่วโลกที่สร้างมนต์เสน่ห์ให้กับผู้พบเห็นไม่ว่าจะเป็นชาวไทย หรือชาวต่างชาติ


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หุ่นละครเล็กคลองบางหลวง


              หุ่นละครเล็กเป็นหุ่นชนิดเดียวที่ใช้ผู้เชิด 3 คนต่อหุ่น 1 ตัว  คนที่ 1 จะบังคับส่วนที่เป็นคอหุ่น หรือแกนกลางไม้ข้างในตัวหุ่น  และจะเชิดไม้หรือมือซ้ายของหุ่น ที่จะมีลูกรอกที่สามารถบังคับทิศทางของมือให้ขึ้นลงได้  ส่วนคนที่ 2 จะบังคับส่วนขาของหุ่น  คนที่ 3 จะเชิดส่วนมือขวา  ทั้ง 3 คนจะต้องสามารถเคลื่อนไหวในแบบท่าทางเดียวกัน  รวมจิตจาก 3 คนให้เป็น 1 เดียว กัน เพื่อจะถ่ายทอดจิตวิญญาณไปสู่ตัวหุ่น เพื่อสืบทอดอารมณ์ ความเคลื่อนไหวและท่าทางได้มีชีวิตเหมือนคนมากที่สุด

                ทั้งนี้ความสัมพันธ์ระหว่างคณะหุ่นกับชุมชนเป็นไปด้วยดีมาก เพราะได้อาศัยเกื้อกูลกัน การที่บ้านศิลปิน และคณะหุ่นได้มาเปิดทำการแสดงที่นี่ก็ทำให้ชุมชนนี้คึกคัก มีอาชีพเสริมรองรับทั้งขายของที่ระลึก  และขายอาหาร  กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ชุมชนแห่งนี้ได้ให้การต้อนรับที่อบอุ่น และเป็นกันเองกับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างดี

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2562

อิทธิพลของการแพทย์ต่างประเทศที่มีผลต่อการแพทย์แผนไทย



อิทธิพลของการแพทย์ต่างประเทศที่มีผลต่อการแพทย์แผนไทย

               เมื่อคนไทยรวมกันเป็นหมู่ในแผ่นดินที่เป็นประเทศไทยนี้เมื่อมีการเกิด เจ็บและตาย ได้พยายามใช้ยาตามธรรมชาติ เช่น รากไม้ ใบไม้ รักษาโรค เมื่อนับถือพระพุทธศาสนาได้นำการแพทย์ของอินเดียเข้ามาร่วมด้วยนอกจากนี้ยังได้รับอิทธิพลจากจีนและไสยศาสตร์ เช่น มีการสะเดาะเคราะห์หมอในสมัยโบราณจึงเป็นไปในลักษณะของหมอทางไสยศาสตร์



                ช่วงก่อนสมัยสุโขทัยถึงสมัยอยุธยาตอนต้นคือตั้งแต่ก่อน พ.ศ. ๑๗๙๒ ถึงราวพ.ศ. ๑๙๙๘ ไม่มีจารึก ตำรา หรือเอกสารโบราณเหลือตกทอดมาให้ได้ศึกษาเรียนรู้การแพทย์แผนไทยในสมัยนั้น อย่างไรก็ดีมีหลักฐานสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เห็นภาพในบางแง่มุมของการแพทย์ในราชสำนักสมัยอยุธยาตอนต้นคือทำเนียบศักดินา ใน "กฎหมายตราสามดวง" ที่ตราขึ้นใน พ.ศ. ๑๙๙๘ มีการระบุศักดินาของข้าราชการพลเรือนที่ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ในตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับโดยแบ่งเป็นกรมต่าง ๆ หลายกรม 



          
            ทั้งนี้ตำแหน่ง "ออกญาแพทยพงษาวิสุทธาธิบดี อะไภยพิรียบรากรมพาหุ จางวางแพทยาโรงพระโอสถ" ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลโรงพระโอสถเป็นผู้ที่ถือศักดินาสูงสุดในบรรดาข้าราชการฝ่ายหมอหลวงแสดงให้เห็นบทบาทสำคัญของแพทย์ปรุงยาซึ่งทำหน้าที่ทั้งเสาะหา รวบรวม และดูแลรักษาเครื่องยาสมุนไพรต่าง ๆ รวมทั้งการปรุงยาหลวงและประสานงานกับหมอในกรมอื่น ๆ นอกจากนี้กรมหมอนวดก็เป็นกรมที่มีความสำคัญด้วยเนื่องจาก "การนวด" เป็นการบำบัดโรคพื้นฐานในสมัยนั้น  ในเรื่องนี้เดอ ลาลูแบร์ (de la Loube`re) ราชทูตชาวฝรั่งเศสซึ่งเดินทางมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในสมัยอยุธยาได้บันทึกไว้ว่า 

"...ในกรุงสยามนั้นถ้าใครป่วยไข้ลงก็จะเริ่มทำให้เส้นสายยืด โดยให้ผู้ชำนาญการในทางนี้ขึ้นไปบนร่างกายของคนไข้และใช้เท้าเหยียบทๆ..."

                นสมัยกรุงศรีอยุธยามีการติดต่อกับชาวตะวันตกโดยเฉพาะในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้มีการนำความรู้ทางการแพทย์เข้ามาด้วย แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลวัฒนธรรมทางการแพทย์ของต่างประเทศที่เข้ามามีบทบาทและผสมผสานกับภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทยมีการใช้เครื่องยาเทศในยาเกือบทุกตำรับที่บันทึกไว้ในตำราพระโอสถพระนารายณ์



โรงพยาบาลศิริราช

                ต่อมาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีแพทย์แผนปัจจุบันชาวต่างประเทศเข้ามาทำการรักษาคนเจ็บป่วยซึ่งขณะนั้นคนไทยยังไม่มีสถานที่รักษาพยาบาลของตนเองจนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงให้นำไม้และวัสดุจากเมรุที่ใช้ในการพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ มาสร้างเป็นโรงศิริราชพยาบาลทำการรักษาทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น "โรงพยาบาลศิริราช" มีการรับนักเรียนเข้าเรียนแพทย์และพยาบาลด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระราชบิดาเจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ที่ทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างสถานศึกษาขึ้นบางส่วนและส่งคนไทยไปศึกษายังต่างประเทศพร้อมกับขอความร่วมมือจากมูลนิธิร็อคกีเฟลเลอร์ให้ช่วยส่งอาจารย์มาพัฒนาหลักสูตรการแพทย์แผนโบราณจึงได้หมดไปจากโรงเรียนแพทย์ และการแพทย์แบบตะวันตกเข้ามาแทนที่อย่างสมบูรณ์


                ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช การแพทย์แผนโบราณได้รับการฟื้นฟูและพัฒนาในทุก ๆ ด้านและเรียกชื่อใหม่ว่า "การแพทย์แผนไทย" แทน "การแพทย์แผนโบราณ" จนคุ้นเคยกันในปัจจุบัน    ต่อมามีการจัดระบบการบริหารจัดการภายในกระทรวงสาธารณสุขใหม่โดยได้จัดตั้งกรมใหม่ขึ้น "กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก" ขึ้นและได้ให้สถา บันการแพทย์แผนไทยมีฐานะเป็นกองหนึ่งในกรมดังกล่าวทำให้การแพทย์แผนไทยได้รับการฟื้นฟู คุ้มครอง ส่งเสริม จนก้าวหน้าขึ้นดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หมอบรัดเลย์
หมอบรัดเลย์ "ตัดแขนพระ"
               ตัวอย่างบุคคลสำคัญที่ได้นำการแพทย์แผนปัจจุบันมาสู่ประเทศไทย “หมอบรัดเลย์” เป็นนายแพทย์ชาวอเมริกันที่เช้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่๓ เขาเป็นคนแรกที่ทำการถ่ายเลือดเพื่อแก้ไขผู้ป่วยที่เสียเลือดไปเป็นจำนวนมาก เป็นผู้ตั้งร้านจำหน่ายยาและเป็นต้นกำเนิดความคิดของการทำคลินิกแห่งแรกในไทย อีกทั้งยังเป็นผู้นำวิธีป้องกันโรคฝีดาษที่ระบาดในสมัยนั้น นอกจากนี้ยังได้ทำการผ่าตัดเป็นครั้งแรก โดยตัดแขนพระภิกษุรูปหนึ่งประสบอุบัติเหตุจากกระบอกบรรจุดินดำทำพลุแตก ซึ่งประสบความสำเร็จดีจนเป็นที่เลื่องลือ เพราะแต่ก่อนคนไทยยังไม่รุ้วิธีผ่าตัดร่างกายมนุษย์แล้วยังมีชีวิตอยู่ดี