การก่อสร้างแบบมฤคทายวัน
พระราชนิเวศน์มฤคทายวันมีเทคนิคการก่อสร้างที่ต่างออกไปจากที่คุ้นเคย
หรือที่เคยรู้มาก่อน ตั้งแต่วิธีการวางแผนในการก่อสร้าง การเลือกใช้วัสดุ
ไปจนถึงการลงลึกในรายละเอียดต่างๆ
ขั้นตอนในการบูรณะ
เริ่มจากการตั้งนั่งร้านแล้วสำรวจตัวอาคารอย่างละเอียด ประกอบไปกับการอ่านจดหมาย อายุเกือบ
100 ปี ที่ใช้เขียนโต้ตอบกันในแต่ละฝ่าย ระหว่าง รัชกาลที่ 6 – ตามานโญ สถาปนิก – วิศวกร –
ผู้รับเหมา ฯลฯ ด้วยระบบการก่อสร้างทำให้ใช้เวลาสร้างเร็วมาก
ประมาณ 7 เดือนก็เสร็จแล้ว แต่ในการบูรณะ
ต้องใช้เวลาถึง 14 เดือน
เสาที่ใช้ในการก่อสร้างพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน
เป็นคอนกรีต (Mass Concrete)ไม่มีเหล็กเส้น เนื่องจากตัวอาคารตั้งอยู่ริมทะเลซึ่งมีคลอไรด์ จึงใช้คอนกรีต
แต่ยังมีการใช้เหล็กเส้นบริเวณหัวเสาแทน บัวที่ใช้บนเสาทุกต้น
ทำมาจากหินแกรนิต บริเวณฐานเสามีการเว้น Gap ไว้ เพื่อใช้ในการหล่อน้ำ กันมดตะนอยซึ่งจะมีเยอะมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว
ลักษณะของการหล่อกันแมลงแบบนี้พบได้ในสถาปัตยกรรมแถวๆปีนัง เสาทุกต้นตั้งอยู่บนทราย
เป็นฐานฟลุตติ้ง ที่ความลึก1.20ม. เพราะทรายกระจายน้ำหนักได้ดี ทำให้ไม่ต้องมีเสาเข็ม
ทั้งโครงการมีเสา 1080
ต้น โดยที่เสาทุกต้นในโครงการจะตรงกันหมด เป็นระบบกริดไลน์ ช่องเปิดประตูก็เช่นกัน ทำให้เป็นข้อสังเกตได้ว่า
ตัวพระราชนิเวศน์ไม่ใช่วิคตอเรียนอย่างที่เข้าใจกันแต่แรกแต่เป็นการก้าวเข้าสู่
Modern Architecture
เพราะมีการนำระบบ Modular System เข้ามาใช้งานแล้ว ซึ่งจริงๆแล้วระบบ Modular system ถูกนำมาใช้ฝาปะกนของบ้านเรือนไทยเช่นกัน ทำให้แยกไม่ออกว่าเป็นวิธีคิดแบบตะวันตกหรือตะวันออก นอกจากนั้นส่วนประกอบต่างๆยังถูกผลิตมาจากที่อื่น
แล้วขนส่งมาประกอบที่นี่
ซึ่งพื้นก็เป็นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูปโบราณยกมาติดตั้งเช่นกัน
ผังอาคารแบ่งเป็น ท้องพระโรง – ฝ่ายหน้า – ฝ่ายใน โดยการตั้งชื่ออาคารเป็นไปตามระบอบความคิดสมมุติเทพ
อยู่ในกรอบความเชื่อของระบบสมบูรณาญาสิทธิราช
การวางตำแหน่งเรือน
เป็นการบ่งบอกสถานะทางสังคมที่แฝงอยู่ในสถาปัตยกรรม โดยเรือนที่ใกล้ทะเลมากที่สุด
คือเรือนของร.6 รองลงมาคือเรือนของพระมเหสีแล้วค่อยๆลดหลั่นกันไปเรื่อยๆ
ท้องพระโรง
(พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์)
ใช้สำหรับออกว่าราชการ รับอาคันตุกะ แสดงละคร เป็นอาคาร 2 ชั้น ฝ้าเปิดโล่ง ชั้น 2 เป็นระเบียงล้อมรอบโถงกลาง เป็นที่ประทับของเจ้านาย
ใช้สำหรับออกว่าราชการ รับอาคันตุกะ แสดงละคร เป็นอาคาร 2 ชั้น ฝ้าเปิดโล่ง ชั้น 2 เป็นระเบียงล้อมรอบโถงกลาง เป็นที่ประทับของเจ้านาย

ตัวฝ้าเพดานใช้วิธีการการห้อยแขวนซึ่งใช้ไม้มาถักเป็นโครง truss เพื่อใช้รับน้ำหนัก ฝ้าที่ทำจาก Ferrocement น้ำหนักประมาณรถฟอร์จูนเนอร์
3 คัน ส่วนเสาชั้น 2 เป็นเพียงไม้บางๆมาประกบกัน 4 แผ่น ตรงกลางกลวง อาคารนี้จึงเปรียบเสมือนการประกาศต่อตะวันตกว่าเราสามารถนำ cultureเค้ามาประยุกต์เข้ากับของเราได้ โดยไม่น้อยหน้า
ฝ่ายหน้า (หมู่พระที่นั่งสมุทรพิมาน) เป็นที่ประทับของรัชกาลที่
6 และเสนาบดีชั้นสูง
บริเวณห้องบรรทม ตรงราวกันตกมีที่แขวนมู่ลี่ไม้ไผ่
เพื่อเพิ่มความ privacy สามารถถอดออกได้ พื้นหน้าห้องมีรูทองเหลือง เพื่อเอาไว้ยึดพรมไม่ให้ปลิว ตรงส่วนที่ร.6จะเสด็จ จะมีหมุดปักพรมซ่อนอยู่ตลอดแนว
ตั้งแต่ห้องบรรทมถึงท้องพระโรง
ส่วนห้องสรง สุขภัณฑ์และหินอ่อน นำเข้ามาจากอิตาลี ที่ห้องน้ำมี bidet อยู่ ทำให้เห็นวิถีของสมัยนั้นตัวสถาปัตยกรรมจึงเปรียบเสมือนไทม์แมชชีนที่ก้าวผ่านกาลเวลา
ฝ่ายใน (หมู่พระที่นั่งพิศาลสาคร)
มีทางเชื่อมกับศาลาลงสรงฝ่ายในภายในประกอบด้วยห้องแต่งพระองค์
ห้องเก็บของ และเฉลียงสำหรับรับลมทะเลโดยถ้าไม่โปรดจะลงเล่นน้ำทะเลก็มาประทับที่เฉลียงรับลมทะเล
ภาษา space ของตามานโญ่ถ้าเทียบกันแล้ว แต่ละที่จะมีspace
ที่คล้ายกัน ทั้งเนลสันเฮย์ พระที่นั่งอนันตฯ นอกจากนั้นแล้ว
บ้านหลังข้างๆของตัวพระราชนิเวศน์ ตามานโญ่ก็เป็นคนออกแบบเหมือนกัน เป็นบ้านของเจ้าพระยารามราฆพ
ใช้วิธีคิดคล้ายๆกันกับพระราชนิเวศน์แต่ลด Spec Material ที่ใช้ในการก่อสร้างลง
เพราะจะได้ไม่เหมือนทำตัวเทียมเจ้านาย วัสดุหลักที่ใช้ในการก่อสร้าง
ใช้ปูนหมากปูนตำ ก่ออิฐบล็อกลงบนคานไม้ ใช้กรอบเป็นรูปตัวยู ตัวปูนด้านนอกไม่มีสี
เพราะถ้าเคยมีปูนตัวนี้จะดูดสีดีมาก แต่นี่ไม่มีสีเลย ทำให้คิดว่าแต่เดิมเป็นสีนี้โดยอิฐบล็อกเป็นตัวเดียวกับโรงเก็บของที่อยู่ด้านหลังพระราชนิเวศน์
พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงวัฒนธรรม
และรสนิยมในสมัยร.6ที่ทำให้เราได้เห็นถึงวิธีคิด สิ่งก่อสร้าง การเลือกไซต์ วิถีชีวิต และการวางผัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น