วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2562

การก่อสร้างแบบมฤคทายวัน



การก่อสร้างแบบมฤคทายวัน

               พระราชนิเวศน์มฤคทายวันมีเทคนิคการก่อสร้างที่ต่างออกไปจากที่คุ้นเคย หรือที่เคยรู้มาก่อน ตั้งแต่วิธีการวางแผนในการก่อสร้าง การเลือกใช้วัสดุ ไปจนถึงการลงลึกในรายละเอียดต่างๆ


             
                 ขั้นตอนในการบูรณะ เริ่มจากการตั้งนั่งร้านแล้วสำรวจตัวอาคารอย่างละเอียด ประกอบไปกับการอ่านจดหมาย อายุเกือบ 100 ปี ที่ใช้เขียนโต้ตอบกันในแต่ละฝ่าย ระหว่าง รัชกาลที่ 6 – ตามานโญ สถาปนิก – วิศวกร – ผู้รับเหมา ฯลฯ ด้วยระบบการก่อสร้างทำให้ใช้เวลาสร้างเร็วมาก ประมาณ 7 เดือนก็เสร็จแล้ว แต่ในการบูรณะ ต้องใช้เวลาถึง 14 เดือน 

                เสาที่ใช้ในการก่อสร้างพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เป็นคอนกรีต  (Mass Concrete)ไม่มีเหล็กเส้น เนื่องจากตัวอาคารตั้งอยู่ริมทะเลซึ่งมีคลอไรด์ จึงใช้คอนกรีต แต่ยังมีการใช้เหล็กเส้นบริเวณหัวเสาแทน บัวที่ใช้บนเสาทุกต้น ทำมาจากหินแกรนิต บริเวณฐานเสามีการเว้น Gap ไว้ เพื่อใช้ในการหล่อน้ำ กันมดตะนอยซึ่งจะมีเยอะมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว ลักษณะของการหล่อกันแมลงแบบนี้พบได้ในสถาปัตยกรรมแถวๆปีนัง เสาทุกต้นตั้งอยู่บนทราย เป็นฐานฟลุตติ้ง ที่ความลึก1.20ม. เพราะทรายกระจายน้ำหนักได้ดี ทำให้ไม่ต้องมีเสาเข็ม

            




               ทั้งโครงการมีเสา 1080 ต้น โดยที่เสาทุกต้นในโครงการจะตรงกันหมด เป็นระบบกริดไลน์ ช่องเปิดประตูก็เช่นกัน ทำให้เป็นข้อสังเกตได้ว่า ตัวพระราชนิเวศน์ไม่ใช่วิคตอเรียนอย่างที่เข้าใจกันแต่แรกแต่เป็นการก้าวเข้าสู่ Modern Architecture เพราะมีการนำระบบ Modular System เข้ามาใช้งานแล้ว ซึ่งจริงๆแล้วระบบ Modular system ถูกนำมาใช้ฝาปะกนของบ้านเรือนไทยเช่นกัน ทำให้แยกไม่ออกว่าเป็นวิธีคิดแบบตะวันตกหรือตะวันออก นอกจากนั้นส่วนประกอบต่างๆยังถูกผลิตมาจากที่อื่น แล้วขนส่งมาประกอบที่นี่ ซึ่งพื้นก็เป็นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูปโบราณยกมาติดตั้งเช่นกัน

              ผังอาคารแบ่งเป็น ท้องพระโรง – ฝ่ายหน้า – ฝ่ายใน โดยการตั้งชื่ออาคารเป็นไปตามระบอบความคิดสมมุติเทพ อยู่ในกรอบความเชื่อของระบบสมบูรณาญาสิทธิราช
              การวางตำแหน่งเรือน เป็นการบ่งบอกสถานะทางสังคมที่แฝงอยู่ในสถาปัตยกรรม โดยเรือนที่ใกล้ทะเลมากที่สุด คือเรือนของร.6 รองลงมาคือเรือนของพระมเหสีแล้วค่อยๆลดหลั่นกันไปเรื่อยๆ
ท้องพระโรง (พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์)
            ใช้สำหรับออกว่าราชการ รับอาคันตุกะ แสดงละคร เป็นอาคาร 2 ชั้น ฝ้าเปิดโล่ง ชั้น 2 เป็นระเบียงล้อมรอบโถงกลาง เป็นที่ประทับของเจ้านาย
5.jpg
            ตัวฝ้าเพดานใช้วิธีการการห้อยแขวนซึ่งใช้ไม้มาถักเป็นโครง truss เพื่อใช้รับน้ำหนัก ฝ้าที่ทำจาก Ferrocement น้ำหนักประมาณรถฟอร์จูนเนอร์ 3 คัน ส่วนเสาชั้น 2 เป็นเพียงไม้บางๆมาประกบกัน 4 แผ่น ตรงกลางกลวง อาคารนี้จึงเปรียบเสมือนการประกาศต่อตะวันตกว่าเราสามารถนำ cultureเค้ามาประยุกต์เข้ากับของเราได้ โดยไม่น้อยหน้า
               


ฝ่ายหน้า (หมู่พระที่นั่งสมุทรพิมาน) เป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 6 และเสนาบดีชั้นสูง
            บริเวณห้องบรรทม ตรงราวกันตกมีที่แขวนมู่ลี่ไม้ไผ่ เพื่อเพิ่มความ privacy สามารถถอดออกได้ พื้นหน้าห้องมีรูทองเหลือง เพื่อเอาไว้ยึดพรมไม่ให้ปลิว ตรงส่วนที่ร.6จะเสด็จ จะมีหมุดปักพรมซ่อนอยู่ตลอดแนว ตั้งแต่ห้องบรรทมถึงท้องพระโรง
            ส่วนห้องสรง สุขภัณฑ์และหินอ่อน นำเข้ามาจากอิตาลี ที่ห้องน้ำมี bidet อยู่ ทำให้เห็นวิถีของสมัยนั้นตัวสถาปัตยกรรมจึงเปรียบเสมือนไทม์แมชชีนที่ก้าวผ่านกาลเวลา
ฝ่ายใน (หมู่พระที่นั่งพิศาลสาคร)
         มีทางเชื่อมกับศาลาลงสรงฝ่ายในภายในประกอบด้วยห้องแต่งพระองค์ ห้องเก็บของ และเฉลียงสำหรับรับลมทะเลโดยถ้าไม่โปรดจะลงเล่นน้ำทะเลก็มาประทับที่เฉลียงรับลมทะเล


ภาษา space ของตามานโญ่ถ้าเทียบกันแล้ว แต่ละที่จะมีspace ที่คล้ายกัน ทั้งเนลสันเฮย์ พระที่นั่งอนันตฯ นอกจากนั้นแล้ว บ้านหลังข้างๆของตัวพระราชนิเวศน์ ตามานโญ่ก็เป็นคนออกแบบเหมือนกัน เป็นบ้านของเจ้าพระยารามราฆพ ใช้วิธีคิดคล้ายๆกันกับพระราชนิเวศน์แต่ลด Spec Material ที่ใช้ในการก่อสร้างลง เพราะจะได้ไม่เหมือนทำตัวเทียมเจ้านาย วัสดุหลักที่ใช้ในการก่อสร้าง ใช้ปูนหมากปูนตำ ก่ออิฐบล็อกลงบนคานไม้ ใช้กรอบเป็นรูปตัวยู ตัวปูนด้านนอกไม่มีสี เพราะถ้าเคยมีปูนตัวนี้จะดูดสีดีมาก แต่นี่ไม่มีสีเลย ทำให้คิดว่าแต่เดิมเป็นสีนี้โดยอิฐบล็อกเป็นตัวเดียวกับโรงเก็บของที่อยู่ด้านหลังพระราชนิเวศน์
พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงวัฒนธรรม และรสนิยมในสมัยร.6ที่ทำให้เราได้เห็นถึงวิธีคิด สิ่งก่อสร้าง การเลือกไซต์ วิถีชีวิต และการวางผัง 
              



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น