วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ความเป็นไทยในงานศิลปะ และสถาปัตยกรรมภายใน



ความเป็นไทยในงานศิลปะ และสถาปัตยกรรมภายใน


ความเป็นไทยถูกสะท้อนออกมาให้เห็นในรูปแบบของวิถีชีวิตอันเรียบง่าย มีประเพณีและศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ซึ่งสังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรมมาก่อน ดังนั้น ความผูกพันของจิตใจจึงอยู่ที่ธรรมชาติแม่น้ำและพื้นดิน สิ่งเหล่านี้จึงเกิดบูรณาการเป็นความคิด ความเชื่อและประเพณีในท้องถิ่น แล้วถ่ายทอดออกมาเป็นวัฒนธรรมไทยอย่างงดงาม ที่สำคัญวัฒนธรรมช่วยส่งต่อคุณค่าความหมายของสิ่งอันเป็นที่ยอมรับในสังคม หนึ่ง ๆ ให้คนในสังคมนั้นได้รับรู้แล้วขยายไปในขอบเขตที่กว้างขึ้น ซึ่งการสื่อสารทางวัฒนธรรมนั้นอาจทำได้โดยผ่านสัญลักษณ์ และสัญลักษณ์นี้คือผลงานของมนุษย์ที่เรียกว่า ศิลปะไทย
          ศิลปะไทยได้รับอิทธิพลจากธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมใน สังคมไทย ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ ความเป็นอยู่และการดำรงชีวิตของคนไทยที่ได้สอดแทรกไว้ในผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้น โดยเฉพาะศิลปกรรมที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของไทย ประเภทของงานศิลปะที่ปรากฏ สามารถแตกออกได้ไปในอีกหลายๆแขนง เช่น จิตรกรรมไทย ประติมากรรมไทย สถาปัตยกรรมไทย ซึ่งมองในภาพรวมจะพบว่าศิลปะไทยจะออกมาในรูปแบบที่อ่อนช้อย ปราณีต เป็นความงามที่วิจิตรและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งนี้ศิลปะไทยอาจไม่ได้มีรูปแบบตายตัว แต่อาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และสังคมที่เปลี่ยนไป





ในสถาปัตยกรรมไทย จะพบว่าในแต่ละอาคารมีความแตกต่างกันไปตามลักษณะการใช้งาน และตามฐานณานุศักดิ์ ทำให้พื้นที่ภายในถูกออกแบบให้แตกต่างตามลักษณะของอาคารด้วย ซึ่งในสถาปัตยกรรมทางศาสนาเช่น อุโบสถ จะมีการตกแต่งอย่างวิจิตร ภายในเป็นสเปซสูง มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่วางไว้ปลายทาง ทำให้เมื่อเข้าไปจะรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์และความยิ่งใหญ่ มีการให้แสงบริเวณพระพุทธรูปซึ่งส่วนมากพระพุทธรูปจะเป็นสีทองซึ่งเมื่อกระทบกับแสงสีเหลืองจะยิ่งทำให้พระพุทธรูปเด่นขึ้นมากภายในสเปซนี้ ในสถาปัตยกรรมสำหรับเป็นที่ประทับของชนชั้นกษัตริย์มีการตกแต่งวิจิตรและความซับซ้อนตามยศที่แตกต่างกัน เครื่องเรือนมีการประดับตกแต่งที่เกินการใช้งาน เครื่องเรือนบางชิ้นอาจอยู่ในรูปแบบ space within space เช่น ที่ประทับ หรือ ที่บรรทม ที่มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม มีหลังคา หรือมีม่านกั้น ทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขี้น พื้นที่บางส่วนมีการเปลี่ยนระดับพื้นเพื่อบ่งบอกถึงชนชั้น เช่น เจ้านายจะนั่งในระดับพื้นที่ถูกยกสูงกว่าคนรับใช้ 





ส่วนในที่พักอาศัยของสามัญชน จะมีการสร้างเรือนที่มีรูปแบบคล้ายชนคือมีการสร้างเป็นหลังๆและเชื่อมกันด้วยชาน ซึ่งเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ของเรือน และด้วยวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันของคนในแต่ละพื้นที่ ทำให้บ้านเรือนบางส่วนถูกออกแบบมาให้ไม่เหมือนกัน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น บ้านเรือนริมคลองก็จะมีบานหน้าต่างถี่เปิดเข้าคลองเพื่อรับลมต่างจากเรือนทั่วไปที่มีช่องเปิดที่น้อยกว่า นอกจากนี้ธรรมเนียมวัฒนธรรมที่ต่างกัน ก็ส่งผลให้มีการประดับแตกแต่งที่แตกต่างกันด้วย เช่น บางแห่งที่ได้รับอิทธิพลจากจีน จะมีการนำเอาเอาชิ้นส่วนเครื่องดินเผามาประดับตกแต่งผนัง เป็นต้น



ในยุคสมัยที่ใหม่ขึ้น อาจไม่พบบ้านเรือนเช่นอย่างอดีต เนื่องจากได้อิทธิพลการก่อสร้างมาจากตะวันตก การแสดงความเป็นไทยส่วนมากในปัจจุบันจึงเป็นการลดทอน การนำเอามาเพียงองค์ประกอบบางส่วนที่สามารถบ่งบอกความเป็นไทยได้ ตัวอย่างเช่น ไอคอนสยามที่สะท้อนความเป็นไทยทั้งรูปทรงภายนอกและภายในที่มีการประดับตกแต่งอย่างไทย เช่น เสาลายกระหนก แชนเดอเลียร์ที่ออกแบบมาจากดอกรักและดอกมะลิ การใช้สีทองสื่อถึงความเป็นไทย เป็นต้น





ฉะนั้นความเป็นไทยในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้เกิดการตีความที่หลากหลายมากขึ้น และมีวิธีการออกแบบให้ดูเป็นสากล ทันสมัย บ่งบอกถึงพัฒนาการของสังคม


วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2562

การก่อสร้างแบบมฤคทายวัน



การก่อสร้างแบบมฤคทายวัน

               พระราชนิเวศน์มฤคทายวันมีเทคนิคการก่อสร้างที่ต่างออกไปจากที่คุ้นเคย หรือที่เคยรู้มาก่อน ตั้งแต่วิธีการวางแผนในการก่อสร้าง การเลือกใช้วัสดุ ไปจนถึงการลงลึกในรายละเอียดต่างๆ


             
                 ขั้นตอนในการบูรณะ เริ่มจากการตั้งนั่งร้านแล้วสำรวจตัวอาคารอย่างละเอียด ประกอบไปกับการอ่านจดหมาย อายุเกือบ 100 ปี ที่ใช้เขียนโต้ตอบกันในแต่ละฝ่าย ระหว่าง รัชกาลที่ 6 – ตามานโญ สถาปนิก – วิศวกร – ผู้รับเหมา ฯลฯ ด้วยระบบการก่อสร้างทำให้ใช้เวลาสร้างเร็วมาก ประมาณ 7 เดือนก็เสร็จแล้ว แต่ในการบูรณะ ต้องใช้เวลาถึง 14 เดือน 

                เสาที่ใช้ในการก่อสร้างพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เป็นคอนกรีต  (Mass Concrete)ไม่มีเหล็กเส้น เนื่องจากตัวอาคารตั้งอยู่ริมทะเลซึ่งมีคลอไรด์ จึงใช้คอนกรีต แต่ยังมีการใช้เหล็กเส้นบริเวณหัวเสาแทน บัวที่ใช้บนเสาทุกต้น ทำมาจากหินแกรนิต บริเวณฐานเสามีการเว้น Gap ไว้ เพื่อใช้ในการหล่อน้ำ กันมดตะนอยซึ่งจะมีเยอะมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว ลักษณะของการหล่อกันแมลงแบบนี้พบได้ในสถาปัตยกรรมแถวๆปีนัง เสาทุกต้นตั้งอยู่บนทราย เป็นฐานฟลุตติ้ง ที่ความลึก1.20ม. เพราะทรายกระจายน้ำหนักได้ดี ทำให้ไม่ต้องมีเสาเข็ม

            




               ทั้งโครงการมีเสา 1080 ต้น โดยที่เสาทุกต้นในโครงการจะตรงกันหมด เป็นระบบกริดไลน์ ช่องเปิดประตูก็เช่นกัน ทำให้เป็นข้อสังเกตได้ว่า ตัวพระราชนิเวศน์ไม่ใช่วิคตอเรียนอย่างที่เข้าใจกันแต่แรกแต่เป็นการก้าวเข้าสู่ Modern Architecture เพราะมีการนำระบบ Modular System เข้ามาใช้งานแล้ว ซึ่งจริงๆแล้วระบบ Modular system ถูกนำมาใช้ฝาปะกนของบ้านเรือนไทยเช่นกัน ทำให้แยกไม่ออกว่าเป็นวิธีคิดแบบตะวันตกหรือตะวันออก นอกจากนั้นส่วนประกอบต่างๆยังถูกผลิตมาจากที่อื่น แล้วขนส่งมาประกอบที่นี่ ซึ่งพื้นก็เป็นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูปโบราณยกมาติดตั้งเช่นกัน

              ผังอาคารแบ่งเป็น ท้องพระโรง – ฝ่ายหน้า – ฝ่ายใน โดยการตั้งชื่ออาคารเป็นไปตามระบอบความคิดสมมุติเทพ อยู่ในกรอบความเชื่อของระบบสมบูรณาญาสิทธิราช
              การวางตำแหน่งเรือน เป็นการบ่งบอกสถานะทางสังคมที่แฝงอยู่ในสถาปัตยกรรม โดยเรือนที่ใกล้ทะเลมากที่สุด คือเรือนของร.6 รองลงมาคือเรือนของพระมเหสีแล้วค่อยๆลดหลั่นกันไปเรื่อยๆ
ท้องพระโรง (พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์)
            ใช้สำหรับออกว่าราชการ รับอาคันตุกะ แสดงละคร เป็นอาคาร 2 ชั้น ฝ้าเปิดโล่ง ชั้น 2 เป็นระเบียงล้อมรอบโถงกลาง เป็นที่ประทับของเจ้านาย
5.jpg
            ตัวฝ้าเพดานใช้วิธีการการห้อยแขวนซึ่งใช้ไม้มาถักเป็นโครง truss เพื่อใช้รับน้ำหนัก ฝ้าที่ทำจาก Ferrocement น้ำหนักประมาณรถฟอร์จูนเนอร์ 3 คัน ส่วนเสาชั้น 2 เป็นเพียงไม้บางๆมาประกบกัน 4 แผ่น ตรงกลางกลวง อาคารนี้จึงเปรียบเสมือนการประกาศต่อตะวันตกว่าเราสามารถนำ cultureเค้ามาประยุกต์เข้ากับของเราได้ โดยไม่น้อยหน้า
               


ฝ่ายหน้า (หมู่พระที่นั่งสมุทรพิมาน) เป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 6 และเสนาบดีชั้นสูง
            บริเวณห้องบรรทม ตรงราวกันตกมีที่แขวนมู่ลี่ไม้ไผ่ เพื่อเพิ่มความ privacy สามารถถอดออกได้ พื้นหน้าห้องมีรูทองเหลือง เพื่อเอาไว้ยึดพรมไม่ให้ปลิว ตรงส่วนที่ร.6จะเสด็จ จะมีหมุดปักพรมซ่อนอยู่ตลอดแนว ตั้งแต่ห้องบรรทมถึงท้องพระโรง
            ส่วนห้องสรง สุขภัณฑ์และหินอ่อน นำเข้ามาจากอิตาลี ที่ห้องน้ำมี bidet อยู่ ทำให้เห็นวิถีของสมัยนั้นตัวสถาปัตยกรรมจึงเปรียบเสมือนไทม์แมชชีนที่ก้าวผ่านกาลเวลา
ฝ่ายใน (หมู่พระที่นั่งพิศาลสาคร)
         มีทางเชื่อมกับศาลาลงสรงฝ่ายในภายในประกอบด้วยห้องแต่งพระองค์ ห้องเก็บของ และเฉลียงสำหรับรับลมทะเลโดยถ้าไม่โปรดจะลงเล่นน้ำทะเลก็มาประทับที่เฉลียงรับลมทะเล


ภาษา space ของตามานโญ่ถ้าเทียบกันแล้ว แต่ละที่จะมีspace ที่คล้ายกัน ทั้งเนลสันเฮย์ พระที่นั่งอนันตฯ นอกจากนั้นแล้ว บ้านหลังข้างๆของตัวพระราชนิเวศน์ ตามานโญ่ก็เป็นคนออกแบบเหมือนกัน เป็นบ้านของเจ้าพระยารามราฆพ ใช้วิธีคิดคล้ายๆกันกับพระราชนิเวศน์แต่ลด Spec Material ที่ใช้ในการก่อสร้างลง เพราะจะได้ไม่เหมือนทำตัวเทียมเจ้านาย วัสดุหลักที่ใช้ในการก่อสร้าง ใช้ปูนหมากปูนตำ ก่ออิฐบล็อกลงบนคานไม้ ใช้กรอบเป็นรูปตัวยู ตัวปูนด้านนอกไม่มีสี เพราะถ้าเคยมีปูนตัวนี้จะดูดสีดีมาก แต่นี่ไม่มีสีเลย ทำให้คิดว่าแต่เดิมเป็นสีนี้โดยอิฐบล็อกเป็นตัวเดียวกับโรงเก็บของที่อยู่ด้านหลังพระราชนิเวศน์
พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงวัฒนธรรม และรสนิยมในสมัยร.6ที่ทำให้เราได้เห็นถึงวิธีคิด สิ่งก่อสร้าง การเลือกไซต์ วิถีชีวิต และการวางผัง 
              



วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ธรรมเนียมการเปิดพระวิสูตร



ธรรมเนียมการเปิดพระวิสูตร


              พระวิสูตร หรือ ม่าน หลายคนอาจรู้จักหน้าที่ของม่านเพียงแค่ว่าเป็นฉากกั้นบริเวณช่องเปิดของผนัง เพื่อกั้นพื้นที่ภายนอก-ใน และทำหน้าที่กันแสงแดดจากภายนอกเข้าสู่ตัวอาคาร แต่ม่านมีหน้าที่และความสำคัญมากกว่าเพียงแค่การบดบังแสงแดด

              ม่าน เป็นที่คุ้นเคย และถูกนำมาใช้ตั้งแต่อดีตโดยแรกเริ่มมีหน้าที่ในการบดบงแสงแดด ต่อมาจึงมีการใช้ม่านเพื่อแบ่งพื้นที่ใช้งานต่างๆ รวมไปจนถึงการใช้เพื่อแบ่งชนชั้นในสังคม
           หากได้สังเกตและศึกษาลักษณะการใช้งานอย่างถี่ถ้วนจะพบว่าในสังคมไทย ส่วนใหญ่มีการใช้ม่านเพื่อแบ่งพื้นที่เพื่อแสดงถึงชนชั้นระหว่างพระมหากษัตริย์และสามัญชน ซึ่งหากสามัญชนจะเดินผ่านเข้าไปก็ทำได้โดยง่าย แต่พระวิสูตรทรงไว้ซึ่งอำนาจมากกว่าความแข็งแรง จึงทำหน้าที่กั้นพื้นที่ได้อย่างศักดิ์สิทธิ์

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พระวิสูตร ในจิตรกรรมฝาผนัง

           นอกจากนี้พระวิสูตรมีความสำคัญในการประกอบราชพิธีต่างๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ "ธรรมเนียมการเปิดพระวิสูตร" การเปิดพระวิสูตรนี้จะกระทำขึ้นเฉพาะ"พระราชพิธีใหญ่มีการเสด็จออกมหาสมาคมเท่านั้น โดยพระวิสูตรนี้จะกางกั้นระหว่างพระราชบัลลังก์ กับข้าราชการที่มาเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท เมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถึงก็จะเสด็จเข้าทางพระทวาร(ประตู)หลังของพระที่นั่ง เสด็จขึ้นประทับเหนือพระราชบัลก์ภายใต้พระเศวตฉัตร ลายล้อมไปด้วยต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง เมื่อถึงเวลาจะเปิดพระวิสูตรนั้น เจ้าพนักงานจะชูพุ่มดอกไม้ทอง เจ้าพนักงานจะรัวกรับ ประโคมกระทั่งมโหระทึก ประโคมแตร ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ จากนั้นพนักงานชาวม่านจะเริ่มเผยพระวิสูตรออกให้เห็นพระเจ้าอยู่หัว
             เหตุที่ต้องมีพระวิสูตรกั้น และต้นไม้เงินต้นไม้ทองแวดล้อมพระราชบัลลังก์นั้นเป็นการสะท้อนถึงความเชื่อเรื่ององค์สมมติเทพโดยมีเหตุผลดังนี้ คือ "พระวิสูตร เปรียบเสมือนที่กั้นเขตแดนระหว่างสวรรค์ที่เต็มไปด้วยดอกไม้เงินดอกไม้ทอง กับโลกมนุษย์ "
ซึ่งในช่วงตั้นกรุงรัตนโกสินทร์นั้น เมื่อถึงงานพระราชพิธีออกมหาสมาคม เจ้าพนักงานจะเปิดพระวิสูตรไว้ให้ข้าราชการที่มาเข้าเฝ้าได้เห็นว่า บนพระราชบัลลังก์นั้นว่างอยู่ และเมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถึงพระที่นั่งก็จะเสด็จพระราชดำเนินเข้าทางพระทวารหลังเตรียมจะเสด็จขึ้น เจ้าพนักงานก็จะปิดพระวิสูตร เพื่อให้พระเจ้าอยู่หัวเสด็จปีนขึ้นไปประทับบนพระราชบัลลังก์ เมื่อได้เวลาออกมหาสมาคมเจ้าพนักงานก็จะเปิดพระวิสูตรอีกครั้งหนึ่ง เสมือนว่าองค์สมมติเทพเสด็จลงมาปรากฏกายให้เห็นอย่างน่าอัศจรรย์
               เมื่อถึงคราวจะเสด็จกลับ หลังจากจบสิ้นพระบรมราโชวาทแล้ว เจ้าพนักงานชาวม่านก็จะปิดพระวิสูตรเพื่อให้พระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงจากพระราชบัลลังก์แล้วเสด็จออกไปทางพระทวารหลัง จากนั้นเจ้าพนักงานชาวม่านก็จะเปิดพระวิสูตรอีกครั้งเสมือนว่าพระองค์เสด็จหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
              แต่ในปัจจุบันธรรมเนียมนี้ได้ตัดบางตอนออกไปคือ จะเผยพระวิสูตรเพียงครั้งเดียวคือเมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถึง และปิดพระวิสูตรเมื่อเสด็จกลับ โดยไม่เปิดอีก
          



          จะเห็นได้ว่าในสังคมไทยนั้นให้ความสำคัญกับการแบ่งพื้นที่เพื่อบ่งบอกถึงชนชั้น ฐานะ และสภาพทางสังคม ทั้งนี้สิ่งที่จะช่วยในการแบ่งพื้นที่ต่างๆแล้ว นอกจากม่าน ยังมีการใช้องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น กำแพง ฉากกั้น บันได เป็นต้น