วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2562

บัว

                "บัว" เป็นรูปแบบศิลปะไทย ที่ช่างศิลป์เกือบทุกแขนงนำมาใช้ในการตกแต่งอาคารต่างๆ โดยรูปแบบได้รับแรงบันดาลใจมาจากบัวหลวงในธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานตกแต่งสถาปัตยกรรมไทย พบว่ามีการเรียกชื่อ "บัว" นำหน้าหรือต่อท้าย อาจเป็นเพราะชิ้นส่วนเหล่านั้นมีเส้นขอบนอกของชิ้นส่วนเป็นรูปวงโค้งเหมือนกลีบดอกบัว เช่น บัวหัวเสา บัวคอเสื้อ ฐานปัทย์ ฐานบัวคว่ำ ฐานบัวหงาย เป็นต้น ซึ่งบางครั้งมีการตกแต่งให้มองเห็นเป็นรูปลวดลายกลีบบัวโดยตรง
                ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงบัวในงานตกแจ่งสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งถือกันได้ว่าเป้นส่วนประกอบสำคัญจนอาจกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติที่นักออกแบบจะต้องศึกษาเรียนรู้และนำไปใช้ให้ถูกต้อง ไม่ว่าจะใช้ในเชิงอนุรักษ์ หรือดัดแปลงแบบร่วมสมัย ก็จำเป็นต้องศึกษารูปแบบและวิธีการใช้ วิธีการเขียน เพื่อจะนำไปสู่การออกแบบที่ถูกต้องสวยงามต่อไป

องค์ประกอบสถาปัยตยกรรมที่มีชื่อเรียกเป็นบัว
1.บัวหงาย คือ ส่วนบนของฐานอาคารใช้ส่วนโค้งของกลีบบัวสร้างเป็นระนาบแนวนอนไปตลอดอาคาร
2.บัวคว่ำ คือ ส่วนล่างของฐาน
3.บัวถลา คือ ชื่อเรียกอีกอย่างของบัวคว่ำ ที่มีส่วนที่ลดมากกกว่าปกติ
4.บัวรวน คือ บัวหงายที่มีการทำเป็นกลีบบัวลดความกระด้างของระนาบทำให้มีมิติดูพริ้วอ่อนไหว
5.บัวปากฐาน คือ ชื่อเรียกอีกอย่างของบัวหงาย คือบัวที่ซ้อนกันไม่มีบัวคว่ำ
6.บัวปากปลิง คือ บัวคว่ำลงมาติดระนาบหน้ากระดานมักใช้งานกับงานที่มีสัญฐานกลม
7.บัวหลังเจียด คือ หน้าระนาบของบัวคว่ำที่ลาดมากๆอยู่ด้วยกันโดยมีหน้ากระดานคั่นกลาง
8.บัวอกไก่ คือ บัวที่ทำเป็นโค้งหงายชนกับบัวคว่ำลายเส้นคล้ายอกไก่ในธรรมชาติ มักใช้คั่นกลางหน้ากระดานระหว่างบัวคว่ำกับบัวหงาย
9.บัวกนก คือ บัวคว่ำและบัวหงายที่มีการทำเป็นกลีบซ้อนกันละเอียดมีกนกประกอบ
10.บัวฟันยักษ์ คือ บัวคว่ำหรือบัวหงายที่ทำเป็นสามเหลี่ยมเส้นแข็งๆทื่อๆ
11.บัวลูกแก้ว คือบัวที่ทำผิวโค้งครึ่งวงกลม มักใช้กับเรือนยอดแหลมของเจดีย์ ซ้อนเป็นชั้นๆแทนอกไก่
12.บัวกลีบบายศรี คือ งานตกแต่งกำแพง หรือ ผนังสร้างเป็นกลีบบัวแหลมอย่างบายศรีใบตอง
13.บัวกลุ่ม คือ บัวที่อยู่ปลายเสาอุโบสถ ใช้กับเสาสัณฐานกลม
14.บัวแวง คือ บัวที่อยู่ปลายเสาอุโบสถ ใช้กับเสาสัณฐานเหลี่ยมย่อมุม
15.บัวกลีบขนุน คือ ชื่อเรียกอีกอย่างของบัวแวงที่มีการแบ่งกลีบหลายๆกลีบคล้ายชังขนุนในธรรมชาติ
16.บัวรัดเกล้า คือบัวหงายที่ชันลาดมากใช้รองรับเรื่อนยอดของอาคาร เช่น พระปรางค์
17.บัวเชิงบาตร คือ ฐานบัวตว่ำที่นำแบบอย่างมาจากเชิงบาตรพระ
18.บัวคอเสื้อ คือ การปั้นลวดลายประดับผนังที่มุมอาคารภายนอก





การนำบัวไปใช้ในสถาปัตยกรรม
1.ส่วนฐานอาาร
2.ฐานเสมา
3.ส่วนฐานอาคาร
4.ส่วนผนังภายนอก
5.ส่วนกำแพง
6.ฐานพระ

“ธรรมชาติแสงเงาของบ้านเรือนไทย”

“ธรรมชาติแสงเงาของบ้านเรือนไทย”



“ทางเดินในบ้านเรือนไทย”

             บ้านเรือนไทยส่วนใหญ่เป็นบ้านแบบกึ่งบกกึ่งน้ำ กล่าวคือมีการยกพื้นสูงขึ้นไป จึงต้องกำหนดพื้นที่สัญจรภายในบ้าน “ชาน” คือพื้นที่กึ่งอเนกประสงค์ที่ถูกคิดค้นมาเพื่อการนี้ ไม่ว่าจะเป็นชานแล่น ชานร่ม หรือชานแดด เมื่อครอบครัวต้องการขยับขยายจึงต้องมีการปลูกเรือนเพิ่ม เรือนประธานและเรือนรองจะมีชานเป็นตัวเชื่อม เรียกว่า “ชานแล่น” ถือเป็นลักษณะสำคัญของเรือนไทย การขยายเรือนเดี่ยวมาสู่เรือนหมู่มีข้อจำกัดไม่มาก จึงทำให้สามารถต่อเรือนได้ตั้งแต่สองเรือน สามเรือน ไปจนถึงสิบห้าเรือน การขยายเรือนแบบ “ล้อมชาน” จึงสามารถสร้างให้เกิดพื้นที่ส่วนกลาง (courtyard) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะแบบอุษาคเนย์

2

             จะเห็นว่า “ชาน” เป็นทั้งพื้นที่สัญจร ส่วนต่อเชื่อมเรือนต่างๆ และยังเป็นพื้นที่ส่วนกลางอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดการไหลเวียนอาคารจากเรือนหนึ่งสู่อีกเรือนหนึ่ง โดยแต่ละเรือนจะเปิดรับลมที่ไหลเวียนผ่านพื้นที่หลักก็คือชานแล่นออกไปนั่นเอง
ชานจึงมีความสำคัญในการกำหนดพื้นที่ของห้องในบ้านเรือนไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่ชานแล่นจะเชื่อมโยงแต่ละเรือนเข้าด้วยกัน ทั้งยังมีพื้นที่ส่วนกลางที่เรียกว่า “ชานแดด” และชานร่มหรือพาไลที่เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ด้านหน้าของแต่ละเรือนด้วย
P.164

“นอนอย่างไทย”

               บ้านเรือนไทยไม่นิยมปลูกเรือนขวางตะวัน แต่มักปลูกตามตะวัน ไม่ว่าจะเป็นเรือนภาคไหนก็ตาม ตามตะวันก็คือการหันหน้าจั่วบ้านไปทางแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก ดังนั้นห้องนอนจะอยู่ทางทิศเหนือ และหน้าบ้านจะอยู่ทางทิศใต้ การวางแนวทิศเรือนเช่นนี้เป็นผลให้ห้องนอนที่มักอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้านได้รับแสงในยามเช้า และลมเย็นในยามบ่าย ทำให้ผู้อยู่อาศัยตื่นขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่า

thaihouse-002ลักษณะการวางเรือนตามตะวัน




             ห้องนอนของไทยจะว่าเป็นห้องที่มีที่นอนและตู้เสื้อผ้าอย่างตะวันตกก็ไม่เชิงเสียทีเดียว ในความเป็นจริงแล้วห้องนอนก็คือห้องอเนกประสงค์ที่มีความเป็นส่วนตัวกว่าชานและระเบียง เป็นพื้นที่ซึ่งแบ่งความเป็นส่วนตัวระหว่างแขกกับคนในบ้าน ซึ่งจะถือว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ไม่ไปล่วงล้ำ โดยปกติหากเป็นเรือนภาคกลางก็จะมีการยกพื้นขึ้นจากชานสู่ระเบียง 40 เซนติเมตร และจากระเบียงสู่ห้องนอนอีก 40 เซนติเมตร ทำให้ระดับการนั่งในห้องนอนนั้นเท่ากับระยะความสูงของผู้ที่เดินอยู่นอกชานเรือน
thaihouse-003
P23807
     
             นอกจากนี้ในการสร้างระดับของ “พื้นที่ส่วนตัว” ในเรือนไทยจะใช้ระดับแสงเป็นตัวช่วย กล่าวคือในพื้นที่ชานแดดที่สว่างกว่านั้น พื้นที่ในร่มอย่างชานร่มจะมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า และพื้นที่แสงสลัวอย่างภายในห้องนอนจะไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกเลยทีเดียว ในขณะที่ภายในห้องนอนสามารถเห็นทุกพื้นที่ได้อย่างชัดเจน นับเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ออกแบบจากความเข้าใจในธรรมชาติของแสงเงานั่นเอง