"บัว" เป็นรูปแบบศิลปะไทย ที่ช่างศิลป์เกือบทุกแขนงนำมาใช้ในการตกแต่งอาคารต่างๆ โดยรูปแบบได้รับแรงบันดาลใจมาจากบัวหลวงในธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานตกแต่งสถาปัตยกรรมไทย พบว่ามีการเรียกชื่อ "บัว" นำหน้าหรือต่อท้าย อาจเป็นเพราะชิ้นส่วนเหล่านั้นมีเส้นขอบนอกของชิ้นส่วนเป็นรูปวงโค้งเหมือนกลีบดอกบัว เช่น บัวหัวเสา บัวคอเสื้อ ฐานปัทย์ ฐานบัวคว่ำ ฐานบัวหงาย เป็นต้น ซึ่งบางครั้งมีการตกแต่งให้มองเห็นเป็นรูปลวดลายกลีบบัวโดยตรง
ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงบัวในงานตกแจ่งสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งถือกันได้ว่าเป้นส่วนประกอบสำคัญจนอาจกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติที่นักออกแบบจะต้องศึกษาเรียนรู้และนำไปใช้ให้ถูกต้อง ไม่ว่าจะใช้ในเชิงอนุรักษ์ หรือดัดแปลงแบบร่วมสมัย ก็จำเป็นต้องศึกษารูปแบบและวิธีการใช้ วิธีการเขียน เพื่อจะนำไปสู่การออกแบบที่ถูกต้องสวยงามต่อไป
องค์ประกอบสถาปัยตยกรรมที่มีชื่อเรียกเป็นบัว
1.บัวหงาย คือ ส่วนบนของฐานอาคารใช้ส่วนโค้งของกลีบบัวสร้างเป็นระนาบแนวนอนไปตลอดอาคาร
2.บัวคว่ำ คือ ส่วนล่างของฐาน
3.บัวถลา คือ ชื่อเรียกอีกอย่างของบัวคว่ำ ที่มีส่วนที่ลดมากกกว่าปกติ
4.บัวรวน คือ บัวหงายที่มีการทำเป็นกลีบบัวลดความกระด้างของระนาบทำให้มีมิติดูพริ้วอ่อนไหว
5.บัวปากฐาน คือ ชื่อเรียกอีกอย่างของบัวหงาย คือบัวที่ซ้อนกันไม่มีบัวคว่ำ
6.บัวปากปลิง คือ บัวคว่ำลงมาติดระนาบหน้ากระดานมักใช้งานกับงานที่มีสัญฐานกลม
7.บัวหลังเจียด คือ หน้าระนาบของบัวคว่ำที่ลาดมากๆอยู่ด้วยกันโดยมีหน้ากระดานคั่นกลาง
8.บัวอกไก่ คือ บัวที่ทำเป็นโค้งหงายชนกับบัวคว่ำลายเส้นคล้ายอกไก่ในธรรมชาติ มักใช้คั่นกลางหน้ากระดานระหว่างบัวคว่ำกับบัวหงาย
9.บัวกนก คือ บัวคว่ำและบัวหงายที่มีการทำเป็นกลีบซ้อนกันละเอียดมีกนกประกอบ
10.บัวฟันยักษ์ คือ บัวคว่ำหรือบัวหงายที่ทำเป็นสามเหลี่ยมเส้นแข็งๆทื่อๆ
11.บัวลูกแก้ว คือบัวที่ทำผิวโค้งครึ่งวงกลม มักใช้กับเรือนยอดแหลมของเจดีย์ ซ้อนเป็นชั้นๆแทนอกไก่
12.บัวกลีบบายศรี คือ งานตกแต่งกำแพง หรือ ผนังสร้างเป็นกลีบบัวแหลมอย่างบายศรีใบตอง
13.บัวกลุ่ม คือ บัวที่อยู่ปลายเสาอุโบสถ ใช้กับเสาสัณฐานกลม
14.บัวแวง คือ บัวที่อยู่ปลายเสาอุโบสถ ใช้กับเสาสัณฐานเหลี่ยมย่อมุม
15.บัวกลีบขนุน คือ ชื่อเรียกอีกอย่างของบัวแวงที่มีการแบ่งกลีบหลายๆกลีบคล้ายชังขนุนในธรรมชาติ
16.บัวรัดเกล้า คือบัวหงายที่ชันลาดมากใช้รองรับเรื่อนยอดของอาคาร เช่น พระปรางค์
17.บัวเชิงบาตร คือ ฐานบัวตว่ำที่นำแบบอย่างมาจากเชิงบาตรพระ
18.บัวคอเสื้อ คือ การปั้นลวดลายประดับผนังที่มุมอาคารภายนอก
การนำบัวไปใช้ในสถาปัตยกรรม
1.ส่วนฐานอาาร
2.ฐานเสมา
3.ส่วนฐานอาคาร
4.ส่วนผนังภายนอก
5.ส่วนกำแพง
6.ฐานพระ
วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2562
“ธรรมชาติแสงเงาของบ้านเรือนไทย”
“ธรรมชาติแสงเงาของบ้านเรือนไทย”
“ทางเดินในบ้านเรือนไทย”
บ้านเรือนไทยส่วนใหญ่เป็นบ้านแบบกึ่งบกกึ่งน้ำ กล่าวคือมีการยกพื้นสูงขึ้นไป จึงต้องกำหนดพื้นที่สัญจรภายในบ้าน “ชาน” คือพื้นที่กึ่งอเนกประสงค์ที่ถูกคิดค้นมาเพื่อการนี้ ไม่ว่าจะเป็นชานแล่น ชานร่ม หรือชานแดด เมื่อครอบครัวต้องการขยับขยายจึงต้องมีการปลูกเรือนเพิ่ม เรือนประธานและเรือนรองจะมีชานเป็นตัวเชื่อม เรียกว่า “ชานแล่น” ถือเป็นลักษณะสำคัญของเรือนไทย การขยายเรือนเดี่ยวมาสู่เรือนหมู่มีข้อจำกัดไม่มาก จึงทำให้สามารถต่อเรือนได้ตั้งแต่สองเรือน สามเรือน ไปจนถึงสิบห้าเรือน การขยายเรือนแบบ “ล้อมชาน” จึงสามารถสร้างให้เกิดพื้นที่ส่วนกลาง (courtyard) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะแบบอุษาคเนย์
จะเห็นว่า “ชาน” เป็นทั้งพื้นที่สัญจร ส่วนต่อเชื่อมเรือนต่างๆ และยังเป็นพื้นที่ส่วนกลางอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดการไหลเวียนอาคารจากเรือนหนึ่งสู่อีกเรือนหนึ่ง โดยแต่ละเรือนจะเปิดรับลมที่ไหลเวียนผ่านพื้นที่หลักก็คือชานแล่นออกไปนั่นเอง
ชานจึงมีความสำคัญในการกำหนดพื้นที่ของห้องในบ้านเรือนไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่ชานแล่นจะเชื่อมโยงแต่ละเรือนเข้าด้วยกัน ทั้งยังมีพื้นที่ส่วนกลางที่เรียกว่า “ชานแดด” และชานร่มหรือพาไลที่เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ด้านหน้าของแต่ละเรือนด้วย
“นอนอย่างไทย”
บ้านเรือนไทยไม่นิยมปลูกเรือนขวางตะวัน แต่มักปลูกตามตะวัน ไม่ว่าจะเป็นเรือนภาคไหนก็ตาม ตามตะวันก็คือการหันหน้าจั่วบ้านไปทางแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก ดังนั้นห้องนอนจะอยู่ทางทิศเหนือ และหน้าบ้านจะอยู่ทางทิศใต้ การวางแนวทิศเรือนเช่นนี้เป็นผลให้ห้องนอนที่มักอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้านได้รับแสงในยามเช้า และลมเย็นในยามบ่าย ทำให้ผู้อยู่อาศัยตื่นขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่า
ห้องนอนของไทยจะว่าเป็นห้องที่มีที่นอนและตู้เสื้อผ้าอย่างตะวันตกก็ไม่เชิงเสียทีเดียว ในความเป็นจริงแล้วห้องนอนก็คือห้องอเนกประสงค์ที่มีความเป็นส่วนตัวกว่าชานและระเบียง เป็นพื้นที่ซึ่งแบ่งความเป็นส่วนตัวระหว่างแขกกับคนในบ้าน ซึ่งจะถือว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ไม่ไปล่วงล้ำ โดยปกติหากเป็นเรือนภาคกลางก็จะมีการยกพื้นขึ้นจากชานสู่ระเบียง 40 เซนติเมตร และจากระเบียงสู่ห้องนอนอีก 40 เซนติเมตร ทำให้ระดับการนั่งในห้องนอนนั้นเท่ากับระยะความสูงของผู้ที่เดินอยู่นอกชานเรือน
นอกจากนี้ในการสร้างระดับของ “พื้นที่ส่วนตัว” ในเรือนไทยจะใช้ระดับแสงเป็นตัวช่วย กล่าวคือในพื้นที่ชานแดดที่สว่างกว่านั้น พื้นที่ในร่มอย่างชานร่มจะมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า และพื้นที่แสงสลัวอย่างภายในห้องนอนจะไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกเลยทีเดียว ในขณะที่ภายในห้องนอนสามารถเห็นทุกพื้นที่ได้อย่างชัดเจน นับเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ออกแบบจากความเข้าใจในธรรมชาติของแสงเงานั่นเอง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)