วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2562

หุ่นละครเล็กคลองบางหลวง

  

หุ่นละครเล็กคลองบางหลวง

                
                หุ่นละครเล็กคลองบางหลวงเกิดจากการรวมตัวของกลุ่มศิลปินที่ยังมีความรักและผูกพันอยู่กับการแสดงหุ่นละครเล็ก ด้วยความมุ่งมั่นและเจตนารมย์เดียวกันที่จะสืบทอด โดยสถานที่สำหรับจัดแสดงหุ่น และเป็นโรงเรียนเล็กๆ ที่เปิดสอนพื้นฐานการแสดงโขนละคร ก็ได้รับความอนุเคราะห์จาก ท่านชุมพล อักพันธานนท์ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านศิลปิน ณ คลองบางหลวง ได้เอื้อเฟื้อสถานที่ให้ใช้ทำการแสดง และตั้งชื่อคณะว่า “คณะหุ่นละครเล็กคลองบางหลวง คณะคำนาย” ตามชื่อของสถานที่ตั้งคือคลองบางหลวงนั่นเอง



           
                  การแสดงหุ่นละครเล็กเป็นการแสดงที่ผู้เชิดต้องมีความสามารถเฉพาะทางและไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะสามารถเชิดหุ่นละครเล็กได้ เนื่องจากผู้เชิดต้องมีพื้นฐานโขน ละคร เป็นอย่างดีจึงจะสามารถเริ่มฝึกการเชิดหุ่นละครเล็กได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลามากกว่า 1 ปี ถึงจะสามารถถ่ายถอดจิตวิญญาณสู่หุ่นละครเล็กให้มีท่วงท่าที่อ่อนช้อยและงดงามได้  อีกทั้งในการเชิดหุ่นละครเล็ก ต้องใช้ผู้เชิดถึง 3 คนจึงต้องรวมใจของทั้ง 3 ให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อถ่ายทอดไปยังตัวหุ่นละครเล็กให้หุ่นละครเล็กเคลื่อนไหวประดุจมีชีวิตซึ่งยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมที่บรรพบุรุษได้สั่งสมภูมิปัญญาจนเกิดเป็นวัฒนธรรมอันเป็นที่ยอมรับของทั่วโลกที่สร้างมนต์เสน่ห์ให้กับผู้พบเห็นไม่ว่าจะเป็นชาวไทย หรือชาวต่างชาติ


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หุ่นละครเล็กคลองบางหลวง


              หุ่นละครเล็กเป็นหุ่นชนิดเดียวที่ใช้ผู้เชิด 3 คนต่อหุ่น 1 ตัว  คนที่ 1 จะบังคับส่วนที่เป็นคอหุ่น หรือแกนกลางไม้ข้างในตัวหุ่น  และจะเชิดไม้หรือมือซ้ายของหุ่น ที่จะมีลูกรอกที่สามารถบังคับทิศทางของมือให้ขึ้นลงได้  ส่วนคนที่ 2 จะบังคับส่วนขาของหุ่น  คนที่ 3 จะเชิดส่วนมือขวา  ทั้ง 3 คนจะต้องสามารถเคลื่อนไหวในแบบท่าทางเดียวกัน  รวมจิตจาก 3 คนให้เป็น 1 เดียว กัน เพื่อจะถ่ายทอดจิตวิญญาณไปสู่ตัวหุ่น เพื่อสืบทอดอารมณ์ ความเคลื่อนไหวและท่าทางได้มีชีวิตเหมือนคนมากที่สุด

                ทั้งนี้ความสัมพันธ์ระหว่างคณะหุ่นกับชุมชนเป็นไปด้วยดีมาก เพราะได้อาศัยเกื้อกูลกัน การที่บ้านศิลปิน และคณะหุ่นได้มาเปิดทำการแสดงที่นี่ก็ทำให้ชุมชนนี้คึกคัก มีอาชีพเสริมรองรับทั้งขายของที่ระลึก  และขายอาหาร  กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ชุมชนแห่งนี้ได้ให้การต้อนรับที่อบอุ่น และเป็นกันเองกับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างดี

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2562

อิทธิพลของการแพทย์ต่างประเทศที่มีผลต่อการแพทย์แผนไทย



อิทธิพลของการแพทย์ต่างประเทศที่มีผลต่อการแพทย์แผนไทย

               เมื่อคนไทยรวมกันเป็นหมู่ในแผ่นดินที่เป็นประเทศไทยนี้เมื่อมีการเกิด เจ็บและตาย ได้พยายามใช้ยาตามธรรมชาติ เช่น รากไม้ ใบไม้ รักษาโรค เมื่อนับถือพระพุทธศาสนาได้นำการแพทย์ของอินเดียเข้ามาร่วมด้วยนอกจากนี้ยังได้รับอิทธิพลจากจีนและไสยศาสตร์ เช่น มีการสะเดาะเคราะห์หมอในสมัยโบราณจึงเป็นไปในลักษณะของหมอทางไสยศาสตร์



                ช่วงก่อนสมัยสุโขทัยถึงสมัยอยุธยาตอนต้นคือตั้งแต่ก่อน พ.ศ. ๑๗๙๒ ถึงราวพ.ศ. ๑๙๙๘ ไม่มีจารึก ตำรา หรือเอกสารโบราณเหลือตกทอดมาให้ได้ศึกษาเรียนรู้การแพทย์แผนไทยในสมัยนั้น อย่างไรก็ดีมีหลักฐานสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เห็นภาพในบางแง่มุมของการแพทย์ในราชสำนักสมัยอยุธยาตอนต้นคือทำเนียบศักดินา ใน "กฎหมายตราสามดวง" ที่ตราขึ้นใน พ.ศ. ๑๙๙๘ มีการระบุศักดินาของข้าราชการพลเรือนที่ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ในตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับโดยแบ่งเป็นกรมต่าง ๆ หลายกรม 



          
            ทั้งนี้ตำแหน่ง "ออกญาแพทยพงษาวิสุทธาธิบดี อะไภยพิรียบรากรมพาหุ จางวางแพทยาโรงพระโอสถ" ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลโรงพระโอสถเป็นผู้ที่ถือศักดินาสูงสุดในบรรดาข้าราชการฝ่ายหมอหลวงแสดงให้เห็นบทบาทสำคัญของแพทย์ปรุงยาซึ่งทำหน้าที่ทั้งเสาะหา รวบรวม และดูแลรักษาเครื่องยาสมุนไพรต่าง ๆ รวมทั้งการปรุงยาหลวงและประสานงานกับหมอในกรมอื่น ๆ นอกจากนี้กรมหมอนวดก็เป็นกรมที่มีความสำคัญด้วยเนื่องจาก "การนวด" เป็นการบำบัดโรคพื้นฐานในสมัยนั้น  ในเรื่องนี้เดอ ลาลูแบร์ (de la Loube`re) ราชทูตชาวฝรั่งเศสซึ่งเดินทางมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในสมัยอยุธยาได้บันทึกไว้ว่า 

"...ในกรุงสยามนั้นถ้าใครป่วยไข้ลงก็จะเริ่มทำให้เส้นสายยืด โดยให้ผู้ชำนาญการในทางนี้ขึ้นไปบนร่างกายของคนไข้และใช้เท้าเหยียบทๆ..."

                นสมัยกรุงศรีอยุธยามีการติดต่อกับชาวตะวันตกโดยเฉพาะในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้มีการนำความรู้ทางการแพทย์เข้ามาด้วย แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลวัฒนธรรมทางการแพทย์ของต่างประเทศที่เข้ามามีบทบาทและผสมผสานกับภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทยมีการใช้เครื่องยาเทศในยาเกือบทุกตำรับที่บันทึกไว้ในตำราพระโอสถพระนารายณ์



โรงพยาบาลศิริราช

                ต่อมาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีแพทย์แผนปัจจุบันชาวต่างประเทศเข้ามาทำการรักษาคนเจ็บป่วยซึ่งขณะนั้นคนไทยยังไม่มีสถานที่รักษาพยาบาลของตนเองจนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงให้นำไม้และวัสดุจากเมรุที่ใช้ในการพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ มาสร้างเป็นโรงศิริราชพยาบาลทำการรักษาทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น "โรงพยาบาลศิริราช" มีการรับนักเรียนเข้าเรียนแพทย์และพยาบาลด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระราชบิดาเจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ที่ทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างสถานศึกษาขึ้นบางส่วนและส่งคนไทยไปศึกษายังต่างประเทศพร้อมกับขอความร่วมมือจากมูลนิธิร็อคกีเฟลเลอร์ให้ช่วยส่งอาจารย์มาพัฒนาหลักสูตรการแพทย์แผนโบราณจึงได้หมดไปจากโรงเรียนแพทย์ และการแพทย์แบบตะวันตกเข้ามาแทนที่อย่างสมบูรณ์


                ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช การแพทย์แผนโบราณได้รับการฟื้นฟูและพัฒนาในทุก ๆ ด้านและเรียกชื่อใหม่ว่า "การแพทย์แผนไทย" แทน "การแพทย์แผนโบราณ" จนคุ้นเคยกันในปัจจุบัน    ต่อมามีการจัดระบบการบริหารจัดการภายในกระทรวงสาธารณสุขใหม่โดยได้จัดตั้งกรมใหม่ขึ้น "กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก" ขึ้นและได้ให้สถา บันการแพทย์แผนไทยมีฐานะเป็นกองหนึ่งในกรมดังกล่าวทำให้การแพทย์แผนไทยได้รับการฟื้นฟู คุ้มครอง ส่งเสริม จนก้าวหน้าขึ้นดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หมอบรัดเลย์
หมอบรัดเลย์ "ตัดแขนพระ"
               ตัวอย่างบุคคลสำคัญที่ได้นำการแพทย์แผนปัจจุบันมาสู่ประเทศไทย “หมอบรัดเลย์” เป็นนายแพทย์ชาวอเมริกันที่เช้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่๓ เขาเป็นคนแรกที่ทำการถ่ายเลือดเพื่อแก้ไขผู้ป่วยที่เสียเลือดไปเป็นจำนวนมาก เป็นผู้ตั้งร้านจำหน่ายยาและเป็นต้นกำเนิดความคิดของการทำคลินิกแห่งแรกในไทย อีกทั้งยังเป็นผู้นำวิธีป้องกันโรคฝีดาษที่ระบาดในสมัยนั้น นอกจากนี้ยังได้ทำการผ่าตัดเป็นครั้งแรก โดยตัดแขนพระภิกษุรูปหนึ่งประสบอุบัติเหตุจากกระบอกบรรจุดินดำทำพลุแตก ซึ่งประสบความสำเร็จดีจนเป็นที่เลื่องลือ เพราะแต่ก่อนคนไทยยังไม่รุ้วิธีผ่าตัดร่างกายมนุษย์แล้วยังมีชีวิตอยู่ดี

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2562

งานตกแต่งภายในแบบ Chinoiserie



Chinoiserie คืออะไร?

                คำว่า "chinoiserie" เป็นภาษาฝรั่งเศส (sheen-was-er-ree อ่านว่าเชน-วอส-เออ-รี่) ถูกนำมาใช้ในศตวรรษที่ 17-18 เพื่ออธิบายถึง เครื่องเรืยนเครื่องประดับตกแต่งที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะลวดลายแบบจีน

                ในประเทศแถบยุโรปให้ความสนใจกับประเทศจีนมากในเวลาช่วงดังกล่าว เช่นนักออกแบบอย่าง Thomas Chippendale ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเช็คสเปียร์ของช่างเฟอร์นิเจอร์ ก็ประสบความสำเร็จในการผสานดีไซน์ศิลปะแบบจีนลงสู่เฟอร์นิเจอร์ของเขาเองได้อย่างลงตัว หรือการตกแต่งสไตล์แบบ Louise XV ในฝรั่งเศส (บางครั้งเรียก Rococo ) ก็มีการนำศิลปะแบบจีนเข้าไปผสม

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Thomas Chippendale



             ตัวอย่างงานเฟอร์นิเจอร์ของ Thomas Chippendale ที่ได้รับอิทธิพลจากจีน มีการออกแบบเก้าอี้ที่มีพนักพิงเป็นลวดลายอย่างจีน ส่วนบนของพนักพิงมีลักษณะคล้ายกับหลังคาจีน และที่พิงน่าจะเป็นลายฉลุที่นำมาจากบานประตู-หน้าต่างของจีน นอกจากนี้ยังได้นำเอาวิธีเพ้นท์ที่เป็นรูปวาดจีนมาเพ้นท์ลงบนเฟอร์นิเจอร์อีกด้วย




          
               ตัวอย่างการตกแต่งสไตล์แบบ Louise XV  ซึ่งมีการนำเอาลักษณะแบบจีนมาใช้ในการตกแต่งภายในผสมผสานกับศิลปะฝรั่งเศส


                 แม้กระทั่งในศตวรรษที่ 20 ศิลปะแบบจีนก็ยังคงความนิยมอย่างสูงในวงการการตกแต่งภายใน ซึ่งคือการนำเอกลักษณ์ของศิลปะจีน ยกตัวอย่าง เช่น เจดีย์จีน มังกร ต้นไผ่  ภาพวิว และนกในนิยายปรัมปราของจีน เข้ามาใช้ในการตกแต่ง เช่น การติดวอลล์เปเปอร์ภาพวิว ที่อาจจะมีรูปศาลาจีน ดอกไม้จีนนกจีนในปรัมปรา  ภาพคนจีนในเครื่องแต่งกายแบบจีน รวมทั้งใช้ของตกแต่งต่างๆแบบจีน


                 เนื่องจากศิลปะแบบจีนสามารถใช้ในการตกแต่งทั้งแบบที่ต้องการรายละเอียด รวมไปถึงการตกแต่งแบบเรียบง่ายที่สุด ในปัจจุบันจึงยังคงเป็นการตกแต่งที่ได้รับความนิยม ทั้งยังผสานกับเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ใหม่ได้ กลายเป็นสไตล์แบบ Chinoiserie Chic Decor ได้อย่างไม่ยากอีกด้วย 




                      การตกแต่งห้องที่เรียบง่ายสไตล์โมเดิร์น โดยมีการนำลวดลายแบบจีนมาใช้แบบลดทอนให้น้อยลง อาจตกแจ่งเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของห้องเพื่อให้มีกลิ่นไอความเป็นจีน เฟอร์นิเจอร์มีoutline ลักษณะแบบอย่างจีน ไม่ได้ลงรายละเอียดในทุกๆส่วนเหมือนอย่างศตวรรษที่ 17-18











วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2562

"9 เคล็ดลับทางจิตวิทยา ที่เอามาปรับใช้กับการทำการตลาด"




                               .ณัฐกฤต สุนทรีรัตน์ หรือ พี่ตั้นศิษย์เก่าของสถ.ไทยจุฬา ผู้ได้รับเกียรติให้มาเป็นวิทยากรเล่าประสบการณ์ชีวิตหลายๆอย่างในชั่วโมงเรียนวิชาThai int arch  ซึ่งพี่ต้ั้นก็ได้พูดถึงประเด็นสำคัญต่างๆที่เกี่ยวโยงกับการทำงานในอนาคต เพื่อให้เราได้นำไปประยุกต์ใช้ ได้ไม่มากก็น้อย


                                ประเด็นที่ฉันสนใจและรู้สึกว่ามันใช้ได้จริง และต้องเป็นประโยชน์ให้กับสายงานของพวกเราได้อย่างแน่นอน นั่นก็คือ..เรื่องของหลักจิตวิทยาการตลาด อาจฟังดูแล้วไม่ค่อยจะเกี่ยวกับสายอาชีพการออกแบบ แต่หลักจิตวิทยานี้เอง ถ้าได้ศึกษาแล้วเอาไปใช้จริงๆแล้ว อาจทำให้งานออกแบบเราขายออก และสามารถตอบสนองผู้ใช้งานตรงจุดมากขึ้น


                              "หลักการทางจิตวิทยาสังคมที่มีผลต่อการตลาด"

                  การทำการตลาดนั้นงานส่วนหนึ่งที่สำคัญที่จะทำให้การตลาดนั้นได้ผล ก็คือ การเข้าใจว่าทำไมผู้บริโภคถึงมีพฤติกรรมต่างๆ หรือจะมีวิธีแสดงออกทางพฤติกรรมออกมาอย่างไรบ้างเมื่อเจอสิ่งเร้าต่างๆรอบตัวขึ้นมา
                  จากการวิจัยของนักวิจัยที่ผ่านมาพบว่ามนุษย์นั้นใช้เหตุผลเพียง 5% ในการตัดสินใจและใช้อารมณ์ตัดสินใจกว่า 95% ในเรื่องต่าง ๆ เราจึงเห็นการซื้อหรือการตัดสินใจอะไรบางอย่างของมนุษย์ที่ไม่ได้ถูกต้องเสมอไปหรืออาจดูโง่ ๆ ในบางที


           "9 เคล็ดลับทางจิตวิทยา ที่เอามาปรับใช้กับการทำการตลาด"


buying-psychology21
            
                                
                              Richard H. Taylor ผู้ที่ซึ่งปฏิวัติความรู้เรื่องนี้ จากผลงานเรื่องเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม  ทำให้นักเศรษฐศาสตร์นั้นสามารถทำความเข้าใจในการตัดสินใจของมนุษย์มากขึ้น และด้วยความรู้นี้ หลาย ๆ องค์กรและแบรนด์ต่าง ๆ ก็เอามาประยุกต์ใช้กับการทำการตลาดของแบรนด์ได้ และนี้คือ 9 ข้อพื้นฐานทางจิตวิทยาที่นักการตลาดสามารถเอาไปใช้ได้ทันที


1. Choice Paradox 
            : อย่าให้ตัวเลือกกับผู้บริโภคมากไปเพราะผู้บริโภคจะเลือกไม่ถูก นี้เป็นกฏทางจิตวิทยาง่าย ๆ ที่เรียกว่า Choice Paradox เพราะเมื่อมีตัวเลือกเกิน 5 ตัวขึ้นไป สมองจะไม่อยากเปรียบเทียบตัวเลือกจน ผู้บริโภคจะไม่อยากเลือกตัวเลือกต่าง ๆ เลย  และตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดควรมี 3 ข้อเท่านั้น
2. Simple 
           : จริง ๆ สมองของมนุษย์นั้นไม่ชอบทำงานหนักมาก หรือเลือกที่จะทำงาน ดังนั้นถ้าอะไรที่มีขั้นตอนความซับซ้อนมากเกินไป หรือมีความเยอะเกิน ผู้บริโภคจะถูกสมองสั่งงานทันทีให้ทิ้งสิ่งที่ทำไปหาอย่างอื่นทำแทนหรือหาสิ่งที่ง่ายกว่าทำขึ้นมาแทน
3. Don’t Hard 
          :  สมองของมนุษย์นั้นต้องการอะไรที่ง่าย ๆ หรือไม่สร้างความสับสน ดังนั้นการมีข้อมูลที่หาได้ง่ายหรือเจอได้ง่ายในทุกที อ่านแล้วเข้าใจได้เลย เช่นการบอกเลยให้ชัดเจนว่าผู้บริโภคต้องทำอะไร จะทำให้ผู้บริโภคใช้งานได้ดีขึ้น
4. More Info 
           :  เมื่อเวลาที่ผู้บริโภคตัดสินใจที่อยากจะได้ข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติม หรือมีคำถาม สิ่งที่ควรทำคือการมอบประสบการณ์ข้อมูลอื่น ๆ ง่าย ๆ เพื่อทำให้ผู้บริโภครู้สึกไม่มีข้อสงสัยและรู้สึกเกิดความปลอดภัยในการเลือกตัวเลือกนี้ขึ้นมา
5. Complementary product 
           : การมอบของแถม เหมือนการให้ Reward ในทางจิตวิทยาแบบหนึ่งตามหลักการของ ฟรอยด์ ทำให้เกิดการจดจำทางสมองว่า เมื่อกระทำอะไรแบบหนึ่งเช่นการซื้อ หรือการใช้บริการ จะได้ reward กลับมา ซึ่งทำให้ผู้บริโภคจะกลับมาใช้บริการอีกครั้งเพื่อให้ได้ reward นี้
hicks-law
6.  Free Item 
             : นักวิจัยพบว่า มนุษย์นั้นตัดสินใจปราศจากเหตุผลอย่างมากในการซื้อสินค้า เมื่อเห็นว่าจะได้ของฟรีแถม เช่น การซื้อเสื้อผ้าที่ไม่ได้อยากได้ เพราะมีเสื้อผ้าแถม หรืออย่าง amazon ที่ให้ส่งฟรีเป็นการแถม ทำให้คนนั้นสั่งของเพิ่มขึ้นอยากมาก แม้ว่าของนั้นจะไม่ใช่ของที่อยากได้ก็ตาม
7. Price Anchoring
             : การสร้างกลยุทธ์ราคา ที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่ายขึ้นผ่านตัวเลือกที่สมเหตุผล เช่นการทำให้รู้สึกว่าราคาที่ซื้อหรือกำลังเปรียบเทียบอยู่นั้นคุ้มค่าอย่างมาก โดยการเอาราคาที่แพงกว่าและดูไม่คุ้ม กับราคาที่ถูกกว่าแต่ไม่คุ้ม เปรียบเทียบกับราคาที่เราต้องการให้เลือก จะทำให้ผู้บริโภคเลือกตัวเลือกที่เราต้องการให้เลือกได้ทันที
8. Environment Shift  
            : สิ่งที่ได้ผลคือการเข้าใจ Context ของผู้บริโภคที่อยากจะได้ และนำเสนอข้อมูล สินค้าและบริการที่จะช่วยการให้ไปถึงเป้าหมายใน Context นั้นง่ายขึ้นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ในกลุ่มคนอยากมีสุขภาพดี หรืออยากออกกำลังกายนั้น สามารถนำเสนออาหารเพื่อสุขภาพ อาหารเสริมวิตามินต่าง ๆ ขึ้นมาได้อย่างทัน และทำให้คนที่กำลังมีเป้าหมายนี้ซื้อของได้โดยไม่รู้ตัว หรือการโชว์สินค้าเหล่านี้คู่กับโฆษณาสุขภาพดีก็สามารถช่วยขับเคลื่อนการขายได้ด้วย
9. IKEA effect 
            : นักวิจัยพบว่า เมื่อคนนั้นลงแรงกับสิ่งหนึ่ง สิ่งใดไป ย่อมให้มูลค่าสิ่งนั้นมากกว่าปกติ และเกิดความผูกพันธ์มากกกว่าปกติอย่างมาก เมื่อผู้สร้างให้ผู้บริโภคลงแรงกับอะไรบางอย่างหรือใช้เวลากับอะไรบางย่อมทำให้ผู้บริโภครู้สึกมีคุณค่าทางใจเพิ่มขึ้นมาอีก ดังนั้นการให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมหรือสามารถลงแรงเล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่างได้ ทำให้สินค้านั้นขายดีขึ้นมาอีกได้เลย
ทั้งนี้นี่คือ 9 ข้อทางจิตวิทยาง่าย ๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้กับการตลาดได้เลยในทันที ซึ่งสามารถจะช่วยเพิ่มยอดขาย คนเข้าขม หรือเกิดลูกค้าที่มีความจงรักภักดีสูงขึ้นมาได้อย่างทันที

         ....แล้วถ้าเรานำจิตวิทยาการตลาดเหล่านี้มาต่อยอดในออกแบบจะเป็นอย่างไร?    
                  จากการศึกษาจิตวิทยาเบื้องต้น ทำให้พบว่ามนุษย์นั้นถูกหล่อหลอมด้วยสภาพแวดล้อม สภาพสังคม และอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้นการที่เราสามารถคาดการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นั่นเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยในการวางแผนการออกแบบspaceต่างๆ รองรับพฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์ที่จะเกิดขึ้นเมื่ออยู่ในspaceที่เราออกแบบ มนุษย์มักจะถูกชักจูงได้ง่ายเมื่อสภาพแวดล้อมโดยรอบถูกเปลี่ยนไป เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม และมักชอบเปรียบเทียบ การให้ตนเองไม่แตกแยก นั่นเป็นการเอาตัวรอดอย่างหนึ่ง ดังนั้นหากเราต้องการทำให้งานออกแบบเรามีจุดสนใจ มีคนเข้ามาแวะเวียนไม่ขาดสาย ก็ต้องเริ่มค่อยสร้างBlackground ซึ่งแค่นั้นก็ยังไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องรู้ถึงพฤติกรรมของกลุ่มที่เรากำลังจะเจาะเป็นกลุ่มลูกค้าว่ามีลักษณะอย่างไร สนใจในเรื่องใด หรือต้องการแสดงตัวตนออกมาในลักษณะใด ซึ่งจะสามารถทำให้เราได้ออกแบบสภาพแวดล้อม บรรยากาศspace ที่ทำให้กลุ่มลูกค้านี้อยู่แล้ว รู้สึกว่าตัวเองดูดี เพิ่มคุณค่าทั้งทางกายและทางใจที่ดีขึ้น
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
                เซ็นทรัลเอ็มบาสซี ที่มีการออกแบบภายในได้ทันสมัย เรียบหรู ทั้งนี้ก็เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างมีฐานะ หรือนักธุรกิจ ภายในห้างมีร้านแบรนเนมยี่ห้อดัง อาจทำให้คนฐานะทั่วไปเข้าถึงยาก 


รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
                 ไอคอนสยาม ในโซนของตลาดน้ำ มีการออกแบบที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย เนื่องเป็นspaceที่คุ้นเคย(ตลาดน้ำที่ทุกคนต้องเคยไป) บรรยากาศโดยรวมทำให้รู้สึกกันเอง ราคาเอื้อมถึง ซึ่งเป็นเจาะกลุ่มลูกค้าได้ถูกจุด ทั้งกลุ่มคนในตัวเมืองและนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี