วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

พระปรางค์วัดอรุณ





พระปรางค์วัดอรุณ


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พระปรางค์วัดอรุณ"



พระปรางค์วัดอรุณในมุมกว้าง เจดีย์องค์ใหญ่เป็นปรางค์ประธาน มีเจดีย์ทรงปรางค์เป็นบริวารประจำมุม และมีมณฑปประจำทิศ
ปรางค์ประธานเป็นสัญลักษณ์แทนเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางของจักรวาล เจดีย์บริวารประจำมุมทั้งสี่ หมายถึง มหาทวีปทั้งสี่ มณฑปทั้งสี่ทิศ หมายถึง ท้าวจัตุมหาราช เทวดารักษาทิศทั้งสี่
ชุดฐานของปรางค์ประธาน มี 3 ชั้น แต่ละชั้นประดับด้วยประติมากรรม ชั้นที่หนึ่งเป็นรูปยักษ์แบก ชั้นที่สองเป็นรูปกระบี่แบก ชั้นที่สามเป็นรูปเทวดาแบก


ชั้นที่1 ยักษ์แบก

ชั้นที่2 กระบี่แบก

ชั้นที่3 เทวดาแบก




งานช่างศิลป์อันโดดเด่นของพระปรางค์วัดอรุณ นอกจากรูปแบบทางสถาปัตยกรรมแล้ว ยังอยู่ที่ประติมากรรมประดับ กับงานกระเบื้องสีและเครื่องเคลือบประดับ


จะสังเกตได้ว่าองค์พระปรางค์วัดอรุณแม้มีขนาดสูงใหญ่ แต่กลับดูไม่เทอะทะ หากแต่ดูสมส่วนงดงามลงตัว โดยรองศาสตราจารย์สมคิด จิระทัศนกุล จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยศิลปากร หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านงานสถาปัตยกรรมไทยในอันดับต้นๆ ของประเทศ ได้อธิบายถึงรูปทรงของพระปรางค์วัดอรุณฯ ไว้ในหนังสือ “รู้เรื่อง วัดวิหาร โบสถ์ เจดีย์ : พุทธสถาปัตยกรรมไทย” ว่า เป็น “ทรงจอมแห” โดยในหนังสือได้กล่าวไว้ดังนี้

“...ทรงจอมแห : หมายถึงรูปทรงของพระปรางค์ที่สร้างโครงรูปเส้นรอบนอกให้มีลักษณะแอ่นโค้งเหมือนอาการทิ้งน้ำหนักตัวของ “แห” ที่ถูกยกขึ้น รูปทรงเช่นนี้ความจริงถูกนำมาใช้กับการออกแบบพระเจดีย์สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์มาก่อนแล้ว ก่อนจะนำมาพัฒนาใช้กับรูปทรงพระปรางค์บ้าง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการพัฒนาที่บรรลุผลทางการออกแบบอย่างสูงสุดครั้งสุดท้าย โดยเฉพาะกับองค์พระปรางค์ประธาน วัดอรุณราชวรารามฯ ธนบุรี ที่ต้องถือว่ามีความงดงามที่สุดในกระบวนการพระปรางค์ยุคกรุงรัตนโกสินทร์ทั้งหมด


ซึ่งความสำเร็จของการออกแบบ “รูปทรงจอมแห” ของพระปรางค์แห่งนี้ อยู่ที่การเน้นส่วนฐานด้วยการซ้อนชั้นจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อเป็นการเสริมให้อาคารมีความสูงมากๆ จึงต้องยืดส่วนของฐานให้กว้างขึ้นกว่าปกติ เพียงพอให้สามารถเบียดทรวดทรงอาคารให้เกิดลักษณะที่แอ่นโค้งได้สำเร็จตามรูปทรงดังกล่าว ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เรือนธาตุกับส่วนยอดอันเพรียวบางนั้น ซึ่งแม้ว่าจะไม่หลงเหลือความยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างต้นฉบับแบบเดิมของ “ทรงศิขร”อยู่เลย แต่ทว่ากลับสะท้อนถึงความสุนทรีย์แห่ง “รูปทรง” ลักษณะใหม่ที่งดงามอย่างหมดจด รวมทั้งความละเอียดในเชิงการออกแบบรูปแบบแผนผัง และองค์ประกอบตกแต่ง ซึ่งก็ยังสามารถสนองรับกับแนวคิดในเรื่องของ “คติจักรวาล” ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามคติเดิมอีกด้วย...”






วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

จิตรกรรมภาพสีปูนเปียก วัดราชาธิวาส

จิตรกรรมภาพสีปูนเปียก วัดราชาธิวาส


พระอุโบสถนี้มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องมหาเวสสันดรชาดก ทั้ง 3ด้าน รวม 13 กัณฑ์ ที่แปลกตาอย่างยิ่งคือหน้าตาตัวละครทุกตัวคล้ายฝรั่ง ต่างกับความคุ้นเคยของคนไทยที่เห็นภาพเขียนมหาเวสสันดรชาดก หน้าตาคล้ายคนไทย เช่น ภาพเขียนฝีมือปรมาจารย์ เหม เวชกร ที่พิมพ์แพร่หลาย และภาพเขียนผนังอุโบสถตามวัดต่างๆ
การที่ภาพเขียนเรื่องมหาเวสสันดรชาดกที่วัดนี้ มีหน้าตาออกไปทางฝรั่ง หรือค่อนไปทางแขก เป็นเพราะจิตรกรผู้เขียนเป็นชาวอิตาลี ชื่อศาสตราจารย์คาร์โล ริโกลี (Carlo Rigoli) ที่เขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 นั่นเอง
จิตรกรคาร์โล ริโกลี เป็นผู้ขยายแบบและลงสีโดยใช้เทคนิคการลงสีแบบเฟรสโกหรือการเขียนสีบนปูนเปียก ซึ่งเป็นเทคนิคการเขียนของโลกตะวันตกเป็นการวาดภาพลงไปในขณะที่ปูนยังไม่แห้ง สีจะซึมลึกลงไปในเนื้อปูน ทำให้อยู่คงทนนานนับสิบ ๆ ร้อย ๆ ปี อย่างเช่นจิตรกรรมของวัดราชาธิวาสที่วาดมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 แต่ยังคงอยู่ถึงตอนนี้โดยไม่ลบเลือนเหมือนจิตรกรรมของหลาย ๆ วัด แต่เทคนิคนี้ยากมาก เพราะหากวาดผิดไปนิดเดียว จะต้องรื้อปูนออก ฉาบปูนใหม่แล้ววาดใหม่หมด คนที่จะวาดได้ต้องมีฝีมือจริง ๆ



 



ภาพตัวละครมหาเวสสันดรชาดกในความคิดของศาสตราจารย์ริโกลี ที่เขียนออกมานั้น มีสรีระร่างกายเข้มแข็ง บึกบึน ไม่เว้นแม้แต่อัจจุตฤาษี และชูชก ภาพเหล่านี้นอกจากออกไปทางฝรั่งแล้ว ยังเป็นที่แปลกตาของชาวไทย ที่คุ้นเคยกับสรีระตัวละครที่อ้อนแอ้น โดยเฉพาะคู่พระคู่นาง ส่วนฤาษีจะมีร่างกายผอม ชูชกจะเป็นชายหง่อม ซูบซีดเพราะยากจน ร่างกายไม่น่าดูเพราะมีบุรุษโทษ 18 ประการ เช่น เท้าทั้งสองใหญ่และคด เล็บทั้งหมดคด ปลีน่องทู่ยานลงภายใต้ริมฝีปากบนยาวปิดรับริมฝีปากล่าง และน้ำลายไหลออกเป็นยางยืด เป็นต้น นอกจากนี้ ภาพที่ถูกเขียนยังมีความสมจริงทั้งฉาก บุคคล ธรรมชาติ ถือเป็นครั้งแรกที่จิตรกรรมฝาผนังเนื่องในพุทธศาสนาถูกเขียนด้วยเทคนิคแบบนี้
ต่อมาจิตรกรรมแบบเฟรสโกสามารถพบเห็นได้อีหลายสถานที่เช่นที่โดมในพระที่นั่งอนันตสมาคม ภายในพระที่นั่งอนันตสมาคมบนเพดานโดมมีภาพเขียนเฟรสโก เป็นงานจิตรกรรมเทคนิคการเขียนสีบนปูนเปียก ซึ่งภาพจะติดทนกว่าภาพที่เขียนบนปูนแห้ง เป็นภาพแสดงถึงพระราชกรณียกิจและเหตุการณ์สำคัญในราชวงศ์จักรี ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน ๖ ภาพ โดย นายกาลีเลโอ กีนี และนาย ซี. รีกูลี