พระปรางค์วัดอรุณ

พระปรางค์วัดอรุณในมุมกว้าง
เจดีย์องค์ใหญ่เป็นปรางค์ประธาน มีเจดีย์ทรงปรางค์เป็นบริวารประจำมุม
และมีมณฑปประจำทิศ
ปรางค์ประธานเป็นสัญลักษณ์แทนเขาพระสุเมรุ
ศูนย์กลางของจักรวาล เจดีย์บริวารประจำมุมทั้งสี่ หมายถึง มหาทวีปทั้งสี่
มณฑปทั้งสี่ทิศ หมายถึง ท้าวจัตุมหาราช เทวดารักษาทิศทั้งสี่
ชุดฐานของปรางค์ประธาน มี 3 ชั้น แต่ละชั้นประดับด้วยประติมากรรม ชั้นที่หนึ่งเป็นรูปยักษ์แบก ชั้นที่สองเป็นรูปกระบี่แบก ชั้นที่สามเป็นรูปเทวดาแบก
ชุดฐานของปรางค์ประธาน มี 3 ชั้น แต่ละชั้นประดับด้วยประติมากรรม ชั้นที่หนึ่งเป็นรูปยักษ์แบก ชั้นที่สองเป็นรูปกระบี่แบก ชั้นที่สามเป็นรูปเทวดาแบก

ชั้นที่1 ยักษ์แบก

ชั้นที่2 กระบี่แบก

ชั้นที่3 เทวดาแบก
งานช่างศิลป์อันโดดเด่นของพระปรางค์วัดอรุณ
นอกจากรูปแบบทางสถาปัตยกรรมแล้ว ยังอยู่ที่ประติมากรรมประดับ
กับงานกระเบื้องสีและเครื่องเคลือบประดับ
จะสังเกตได้ว่าองค์พระปรางค์วัดอรุณแม้มีขนาดสูงใหญ่ แต่กลับดูไม่เทอะทะ หากแต่ดูสมส่วนงดงามลงตัว โดยรองศาสตราจารย์สมคิด จิระทัศนกุล จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยศิลปากร หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านงานสถาปัตยกรรมไทยในอันดับต้นๆ ของประเทศ ได้อธิบายถึงรูปทรงของพระปรางค์วัดอรุณฯ ไว้ในหนังสือ “รู้เรื่อง วัดวิหาร โบสถ์ เจดีย์ : พุทธสถาปัตยกรรมไทย” ว่า เป็น “ทรงจอมแห” โดยในหนังสือได้กล่าวไว้ดังนี้
“...ทรงจอมแห :
หมายถึงรูปทรงของพระปรางค์ที่สร้างโครงรูปเส้นรอบนอกให้มีลักษณะแอ่นโค้งเหมือนอาการทิ้งน้ำหนักตัวของ
“แห” ที่ถูกยกขึ้น
รูปทรงเช่นนี้ความจริงถูกนำมาใช้กับการออกแบบพระเจดีย์สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์มาก่อนแล้ว
ก่อนจะนำมาพัฒนาใช้กับรูปทรงพระปรางค์บ้าง
ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการพัฒนาที่บรรลุผลทางการออกแบบอย่างสูงสุดครั้งสุดท้าย
โดยเฉพาะกับองค์พระปรางค์ประธาน วัดอรุณราชวรารามฯ ธนบุรี
ที่ต้องถือว่ามีความงดงามที่สุดในกระบวนการพระปรางค์ยุคกรุงรัตนโกสินทร์ทั้งหมด
ซึ่งความสำเร็จของการออกแบบ “รูปทรงจอมแห” ของพระปรางค์แห่งนี้ อยู่ที่การเน้นส่วนฐานด้วยการซ้อนชั้นจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อเป็นการเสริมให้อาคารมีความสูงมากๆ จึงต้องยืดส่วนของฐานให้กว้างขึ้นกว่าปกติ เพียงพอให้สามารถเบียดทรวดทรงอาคารให้เกิดลักษณะที่แอ่นโค้งได้สำเร็จตามรูปทรงดังกล่าว ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เรือนธาตุกับส่วนยอดอันเพรียวบางนั้น ซึ่งแม้ว่าจะไม่หลงเหลือความยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างต้นฉบับแบบเดิมของ “ทรงศิขร”อยู่เลย แต่ทว่ากลับสะท้อนถึงความสุนทรีย์แห่ง “รูปทรง” ลักษณะใหม่ที่งดงามอย่างหมดจด รวมทั้งความละเอียดในเชิงการออกแบบรูปแบบแผนผัง และองค์ประกอบตกแต่ง ซึ่งก็ยังสามารถสนองรับกับแนวคิดในเรื่องของ “คติจักรวาล” ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามคติเดิมอีกด้วย...”